เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

ปลดประธานนิสสัน : บทเรียนผู้นำ

ข่าววันที่ : 26 พ.ย. 2561


Share

tmp_20182611132616_1.jpg

วันที่ ปรับปรุง 26 พ.ย. 2561

          ดร.บัณฑิต นิจถาวร
          bandid.econ@gmail.com

 

          ข่าวใหญ่วงการธุรกิจทั่วโลกอาทิตย์ที่ผ่านมาคือ การปลดนายคาร์ลอส กอส์น (Carlos Ghosn)ประธานคณะกรรมการบริษัทนิสสัน ประธานคณะกรรมการบริษัทรถยนต์เรโนลต์  (Renault) และประธานคณะกรรมการบริษัทรถยนต์มิตซูบิชิ ออกจากทั้ง 3 ตำแหน่ง หลังนายคาร์ลอสได้ถูกจับกุมโดยทางการญี่ปุ่น ในข้อหาแจ้งข้อมูลไม่ถูกต้องในการสำแดงรายได้ประจำปีต่ำกว่าตัวเลขจริง ซึ่งเป็นความผิดทางอาญามีโทษจำคุกได้ถึง 10 ปี
          ข่าวนี้ดังมาก เพราะนายคาร์ลอสเป็นผู้บริหารระดับซีอีโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก สามารถพลิกฟื้น บริษัทรถยนต์นิสสันของญี่ปุ่นไม่ให้ล้มละลาย เมื่อ 20 ปีก่อน และสร้างอาณาจักรผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกขึ้นมา โดยรวมบริษัทรถยนต์เรโนลต์ของฝรั่งเศส บริษัทรถยนต์นิสสันและมิตซูบิชิของญี่ปุ่นเข้าเป็นเครือข่าย เดียวกัน เพื่อแข่งกับกลุ่มโฟล์คสวาเกน และโตโยต้า เป็นการพลิกฟื้นบริษัทรถยนต์ทั้ง 3 แห่ง ที่เคยมีอาการร่อแร่มาเป็นอาณาจักรผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ผลิตรถยนต์รวมกัน 10.6 ล้านคันต่อปี เป็นรองเพียงกลุ่มโฟล์คสวาเกนที่ผลิตได้ 10.7 ล้านคันต่อปี ในปี 2015  หลังมีข่าวนายคาร์ลอสและกรรมการบริหารนิสสันอีกคนถูกกล่าวหาและถูกจับกุมโดยทางการญี่ปุ่น หุ้นทั้ง 3 บริษัทก็ปรับลดลงทันที มากถึง 8% ในกรณีของบริษัท เรโนลต์ 7% ในกรณีมิตซูบิชิ และ 5% กรณีนิสสัน  การปลดนายคาร์ลอสออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการทั้ง 3 บริษัททำให้มีความเป็นห่วงว่าอาจเกิดสุญญากาศที่จะ สั่นคลอนอาณาจักรผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 3 บริษัท ที่นายคาร์ลอสได้สร้างขึ้นมากับมือ
          แต่ที่สำคัญกว่าคือ เหตุการณ์ความบกพร่องในการรายงานตัวเลขรายได้เกิดขึ้นได้อย่างไร ติดต่อกันถึง 5 ปี เป็นข้อกล่าวหาที่แสดงถึงความบกพร่องด้าน ธรรมาภิบาลของบริษัทนิสสัน และมีคำถามว่าคณะกรรมการบริษัทยอมให้เรื่อง ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยไม่มีการกำกับดูแลอย่างที่ควร
          นายคาร์ลอส อายุ 64 ปี มีประวัติการทำงานที่น่าทึ่งมาก เขาเกิดและโตในวัยเด็ก ที่ประเทศบราซิล ในครอบครัวที่พ่อและแม่เป็นคนเลบานอน จึงผูกพันกับประเทศบราซิลมาก พอโตขึ้นก็ไปอยู่กับแม่ที่เลบานอน ก่อนย้ายไปเรียนหนังสือที่ฝรั่งเศส เข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงปารีส เรียนวิศวกรรม และเริ่มทำงานที่บริษัทยางรถยนต์มิชิลิน หลังจบการศึกษาปี 1978  จากนั้นก็ไต่เต้าเป็นลำดับจากความเก่งของเขาจนได้โอกาสเป็นผู้จัดการบริษัทที่บราซิล ซึ่งเขาพอใจมากและทำได้ดี แก้ปัญหาที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดีจนได้เลื่อนเป็นผู้บริหารของบริษัทมิชิลินในอเมริกาที่เพิ่งควบรวมธุรกิจ โดยซื้อบริษัทยางรถยนต์อันดับต้นๆ ของสหรัฐ ซึ่งเขาก็ทำได้ดี จนบริษัทรถยนต์ เรโนลต์เห็นฝีมือ ชวนเขามาอยู่กับเรโนลต์ ในปี 1996 และเรโนลต์ได้ซื้อบริษัทนิสสันที่กำลังล้มละลายในปี 1999 มอบให้นายคาร์ลอสเข้าบริหารฟื้นกิจการ ซึ่งนายคาร์ลอส ก็ทำได้ และได้ตำแหน่งเป็นซีอีโอของบริษัทนิสสัน ในปี 2001
          ปี 2005 นายคาร์ลอส ได้รับแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอ ของบริษัทเรโนลต์ พร้อมกับเป็นซีอีโอของนิสสันคือ ควบ 2 ตำแหน่ง และปี 2016 เขาก็สร้างกลุ่มพันธมิตรบริษัทรถยนต์ 3 บริษัทขึ้นมาคือ เรโนลต์ นิสสัน และมิตซูบิชิ โดยเขาเป็นประธานทั้ง 3 บริษัท เพื่อแข่งกับ โตโยต้าและโฟลค์สวาเกน ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จกลายเป็นผู้บริหารที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการรถยนต์โลก
          แต่ที่เป็นสุดยอดของฝีมือคือ การเข้าพลิกฟื้นบริษัทนิสสันที่ 20 ปีก่อน ใกล้ล้มละลายจากหนี้ที่มีมากถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ และขาดทุนปีละ 6,000 ล้านดอลลาร์ เขาทำได้โดยการสร้างความเข้าใจกับพนักงานและผู้บริหารญี่ปุ่นว่า นิสสันจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อวิธีการทำงานแบบญี่ปุ่นต้องเปลี่ยน ไม่มีแล้วการจ้างงานตลอดชีพ เขาปลด คนงานออกกว่า 2.1 หมื่นคน ปิดโรงงาน 5 แห่ง ยกเลิกการเลื่อนตำแหน่งตามระบบอาวุโส จ้างผู้บริหารที่มีฝีมือจากต่างประเทศเข้ามาร่วมงาน และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการทำธุรกิจของบริษัท ที่สำคัญเขาให้คำมั่นสัญญากับพนักงานว่าถ้าเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาของนิสสันได้ตามแผน 3 ปี เขาและทีมผู้บริหารจะลาออก ผลคือเขาสามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อน 3 ปี และนำวิธีการเดียวกันไปพลิกฟื้น ธุรกิจของบริษัทเรโนลต์และมิตซูบิชิ จนเครือข่าย 3 บริษัทใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก ทำให้นายคาร์ลอสเป็นผู้บริหารที่ได้รับการยกย่องมาก เพราะความสามารถของเขาในการทำให้คนที่มาจากวัฒนธรรมและเชื้อชาติต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นที่บราซิล สหรัฐ ฝรั่งเศส หรือญี่ปุ่น ข่าวที่ออกทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของนายคาร์ลอสในฐานะผู้นำและผู้บริหารที่ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมรถยนต์โลกถูกสั่นคลอนมาก ข้อกล่าวหาขณะนี้ยังต้องรอการพิสูจน์และรอการพิจารณาตัดสินโดยศาล ข้อกล่าวหาคือ เขารายงานรายได้ของตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง ช่วงปี 2011-2015 หลังทางการญี่ปุ่น มีกฎให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่มี รายได้มากกว่า 8.8 แสนดอลลาร์ต่อปีต้องรายงานตัวเลขรายได้ แต่นายคาร์ลอส ได้รับเงินเดือนสูงมาก และเงินเดือนที่สูงของเขาก็เป็นปัญหากับผู้ถือหุ้นมาตลอด จึงอาจทำให้เกิดการแสดงรายได้ที่ต่ำกว่าที่ได้รับจริง
          นอกจากนี้มีข้อกล่าวโทษการใช้ทรัพย์สินของบริษัทนิสสัน เช่น บ้านเช่า เพื่อประโยชน์ตนเอง รวมถึงใช้เงินบริษัทลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขาเป็นซีอีโอ นิสสัน และเป็นเรื่องที่ต้องรอพิสูจน์
          ในแง่ธรรมาภิบาลประเด็นที่เป็น บทเรียนในเรื่องนี้คือผู้นำต้องพร้อมถูกตรวจสอบ ซึ่งโดยทั่วไปผู้นำที่ประสบความ สำเร็จมากๆ จะไม่มีใครกล้าตรวจสอบ ทำให้ผู้นำยิ่งกล้าที่จะทำผิด เพราะไม่มีใครกล้าตรวจสอบตอนอยู่ในตำแหน่ง การ ไม่ตรวจสอบเกิดขึ้นบ่อยในสถานการณ์ที่มีลักษณะดังนี้
          1.บริษัทมีประธานบริษัทและซีอีโอเป็นบุคคลคนเดียวกัน คือคนเดียวนั่ง 2 ตำแหน่ง เมื่อคนเสนอเรื่องคือซีอีโอ และ คนอนุมัติคือประธานบริษัทเป็นคนคนเดียวกัน การตรวจสอบถ่วงดุลก็เกิดขึ้นยาก เอื้อให้มีการละเมิดและการทำผิดต่างๆ ปัจจุบันการแยกตำแหน่งประธานบริษัทและซีอีโอให้มีคนดำรงตำแหน่ง 2 คน จึงเป็นแนวปฏิบัติที่สำคัญมากในการสร้างการถ่วงดุลในบริษัท ในบ้านเราตัวเลขล่าสุดจากบริษัทจดทะเบียน 657 แห่ง ชี้ว่า 87% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีผู้ดำรง ตำแหน่งประธานและซีอีโอแยกเป็นเอกเทศจากกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
          2.บริษัทมีซีอีโอที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากในธุรกิจแบบพวกมนุษย์ทองคำ และอาจเป็นผู้เสนอชื่อแต่งตั้งกรรมการด้วยทำให้กรรมการอิสระเกรงใจในสถานะและความสามารถของซีอีโอ ไม่กล้าซักถาม เพราะ ไม่มีความรู้ หรือไม่มีข้อมูลพอที่จะตั้งคำถามกับซีอีโอเพื่อตรวจสอบ ทำให้ซีอีโอสามารถทำอะไรได้ตามที่อยากทำ เพราะไม่มีการตรวจสอบจริงจัง
          3.บริษัทมีประธานบริษัทที่ต้องการใช้ ตำแหน่งประธานหาประโยชน์ จึงทำโครงสร้าง คณะกรรมการบริษัทให้อ่อนแออย่างตั้งใจเช่น แต่งตั้งกรรมการอิสระที่เป็นพวกเป็นพ้อง เข้ามาเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบจากภายนอก ให้บอร์ดแต่งตั้งซีอีโอที่ประธานสามารถควบคุมได้หรือสั่งได้ ผลคือการทำธุรกิจของบริษัทไม่มีการตรวจสอบควบคุมโดยคณะกรรมการบริษัทอย่างที่ควรจะเป็น บทบาทของกรรมการอิสระอ่อนแอ ซึ่งกรณีบริษัทนิสสันก็เป็นเช่นนี้ จึงเอื้อให้เกิดการทำผิดต่างๆ ได้ง่าย ในบ้านเราเรื่องแบบนี้เกิดบ่อยเพราะกรรมการและผู้บริหารจะเคารพและให้เกียรติประธานอยู่แล้ว ไม่ค่อยขัดใจประธาน ทำให้ประธานมีอำนาจมากและอาจทำอะไรตามอำเภอใจ ยิ่งถ้าได้ประธานที่ไม่มีความสามารถหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาทำหน้าที่และตั้งใจหาประโยชน์ ความเสี่ยงที่จะทำให้บริษัทเสียหายก็มีมาก โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ทางการเมืองมักมองว่าไม่มีเจ้าของ
          นี่คือ 3 สถานการณ์ที่มักนำไปสู่ปัญหา กรณีของนายคาร์ลอส ถ้าผิดจริง น่าจะเข้าข่ายข้อ 1 ที่การตรวจสอบทำไม่ได้เต็มที่ เพราะประธานและซีอีโอเป็นคนเดียวกัน มีอำนาจมากและมีการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ตรงกับข้อคิดที่ลอร์ดแอคตัน (Lord Acton) พูดไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อนว่า "อำนาจมักจะฉ้อฉล ยิ่งมีอำนาจมากยิ่งฉ้อฉลมาก คนยิ่งใหญ่มักจะเป็นคนไม่ดีเสมอ" เป็นสัจธรรมความจริงไม่ว่าจะในภาคธุรกิจหรือการเมือง


ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก  :  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561