เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการ E-clipping » รายละเอียด E-clipping
รู้ทันทุเรียน

           เรื่อง : พิมพ์พัดชา กาคา

          ราชาแห่งผลไม้ที่หลายคนโปรดปราน มีทั้งโทษและประโยชน์ แต่หากไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทุเรียนอาจให้ผลร้ายมากกว่าผลดี

          "หนูชอบหมอนทอง เพราะว่ามันอร่อยและหาง่าย หลง-หลิน ลับแลจากเมืองอุตรดิตถ์ก็ชอบนะ แต่คิดว่ามันหวานไปนิด ถ้าจะให้อร่อยจริงๆ ถูกนูชอบหมอนทอง เพราะว่า"หมันอร่อยและหาง่าย หลง-หลิน ลับแลจากเมืองอุตรดิตถ์ก็ชอบใจจริงๆ ก็ต้องเป็นพันธุ์ก้านยาว ลูกละเป็นหมื่นแต่อร่อยมาก" พิมพ์เลิศ ใบหยก กล่าว ขณะที่ หญิงแอร์ หรือ ม.ร.ว.จันทรลัดดา ยุคล เผยว่า เธอชอบทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่ไม่สุกมากเนื้อแข็งกำลังดี เพราะกลิ่นไม่แรง แถมไม่หวานมาก ถึงแม้จะรู้ว่าแป้งเยอะ แต่ก็รับประทานแต่พอประมาณ ผิดกับสาว วิภาวี คอมันตร์ เธอไม่ชอบราชาผลไม้ อย่างทุเรียนเพราะกลิ่นแรงเกินไป อีกอย่างเป็น ผลไม้ที่หวานมากไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ

          มิ้งค์ ณัฏฐิ์ประภา ชุนหวรรณ ชอบทุเรียนพันธุ์ก้านยาว เพราะหวานหอม แต่ทานไม่บ่อย เพราะกลัวอ้วน จุ๋ย-จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เน้นทานทุเรียนทอด เพราะไม่มีกลิ่น อีกอย่างไม่ชอบทานทุเรียนสุก เพราะหวานมากและกลิ่นแรง นักกินทุเรียนบ้างชอบพันธุ์กบชายน้ำ บางคนชอบหลิน-หลงลับแล ที่หวาน และมันกว่า พวงมณีเมืองจันท์ที่หวานอย่างเดียว นี่คือนานาทัศนะของเหล่าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบทุเรียน

          ทั้งนี้ในบรรดาทุเรียนทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่า "หมอนทอง" นั้นหาง่ายราคาไม่แพง รสชาติดีถูกใจคนส่วนใหญ่ จนกลายเป็นทุเรียนยอดนิยมอันดับ 1 ไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนพันธุ์ไหนก็ให้ทั้ง ผลร้ายและผลดีทั้งนั้น

          กินทุเรียนอย่างไรไม่ให้อ้วน

          ผลไม้มีหนามรสอร่อยออกผลไม่กี่เดือน อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมโรคร้ายอาจแวะมาขอเป็นเพื่อนหากเราไม่ทันระวังตัว อ.สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย และที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย เผยว่า กระแสข่าวลดน้ำหนักด้วยการกินทุเรียนวงการแพทย์ออกมายืนยันแล้วว่าไม่จริง "ที่บอกว่าตื่นเช้ากินทุเรียนแทนข้าวจะช่วยลดน้ำหนักได้ เป็นวิธีที่ผิด ลองคิดดูว่าพอหมดหน้าทุเรียนแล้วเราจะทำยังไง ตอนนั้นน้ำหนักอาจจะลดได้จริง ต้องถามว่าเรามีปัญญากินทุเรียนได้ทุกวันตลอดปีหรือเปล่า ต้องระวังปัญหาที่จะตามมาก็คือโยโย่เอฟเฟค ผมว่ามันเป็นวิธีที่ผิดธรรมชาติ"

          ที่ปรึกษากรมอนามัยอธิบายว่า กินทุเรียนอย่างไรไม่ให้อ้วน น่าสนใจกว่าจะลดความอ้วนด้วยทุเรียน ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าผลไม้ในบ้านเรา แบ่งเป็น 3 ประเภทก็คือ ประเภทที่หวานน้อย ประเภทที่หวานปานกลาง และประเภทที่หวานมาก ผลไม้ที่หวานน้อยเช่น ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร ส้มโอ รวมไปถึงผลไม้ฝรั่งอย่างแอปเปิ้ล

          ส่วนผลไม้ที่หวานปานกลางก็มี สับประรด มะละกอ แตงโม กล้วยน้ำว้า สำหรับ มะม่วงสุก ลิ้นจี่ ลำไย และทุเรียน จัดอยู่ในประเภทผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงเนื่องจากให้ความหวานมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น

          "โดยเฉพาะทุเรียนมีรสหวานจัดเข้มข้นน้ำตาลสูงกินแล้วน้ำตาลล้นเกิน ร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ใต้ผิวหนังภายใน 30 นาที เสี่ยงกับหลอดเลือดตีบ ไขมันเกาะตับ ถึงอ้วนลงพุง ที่ว่าความหวานของผลไม้กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนนั้น ไม่จริงนะครับ"

          อ.สง่า ฝากข้อคิดเกี่ยวกับการกินทุเรียนอย่างไรให้สุขภาพดีไว้ 6 ข้อ ดังนี้ ข้อแรก ต้องตระหนักว่า ทุเรียนมีน้ำตาลสูง รับประทานมากทำให้อ้วน ข้อสอง ให้รับประทานทุเรียนเป็นอาหารว่าง หรือรับประทานระหว่างมื้อ ไม่ควรกินหลังอาหาร มื้อหลัก เพราะจะทำให้เพิ่มพลังงานมากขึ้น ข้อที่สาม ตั้งสติไว้ให้ดีเวลาจะรับประทานคิด เสมอว่า ทุเรียน 1 พู ให้พลังงานเท่ากับข้าว 2-3 ทัพพี ก็คือ 200-250 กิโลแคลอรี่  ข้อที่สี่ หลังจากกินทุเรียนแล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลสูง ข้อที่ห้า หลังกินทุเรียนให้ดื่มน้ำตาม เช่นที่คนโบราณบอกว่าให้เทน้ำใส่ร่องทุเรียนแล้วซดหลังจากกินทุเรียนแก้ร้อนในนั่นคือกุศโลบายของคนโบราณ ข้อสุดท้าย หลังจากรับประทานทุเรียนแล้วให้ออกกำลังกายเพื่อเป็น การใช้พลังงานออกไปให้หมด ป้องกันการสะสมของไขมัน ที่เป็นบ่อเกิดของโรคร้าย  "สิ่งที่ผมแนะนำไปส่วนใหญ่นักกินทุเรียนทั้งหลายทำไม่ได้หรอก บางคนตั้งใจกินแค่ 1 พู แต่มันอร่อยก็เลยห้ามใจไม่ได้ บางคนกินทุเรียนคนเดียวทั้งลูกก็มี ผมเองก็ชอบทานทุเรียน จะทานระหว่างมื้ออาหารตามที่พูดมาผมทำได้ เราต้องมีความยับยั้งชั่งใจ อย่าไปเห็นแก่ความอร่อย กินมากก็อ้วน อะไรก็ตามกินมากก็อ้วนทั้งนั้น ให้กิน หลากหลายจะดีกว่า หากกินทุเรียนเยอะๆ แล้วมีความสุข แต่ต้องเจอทุกข์ในวันข้างหน้า เงินทองที่หามาได้ก็ต้องเอาไปรักษาตัวเองหมด ผมมี คติสอนใจอีกอย่างก็คือ อร่อยปาก ลำบากเท้า คือถ้าเรากินของอร่อยๆ ไปเยอะก็ต้องเดิน ออกกำลังกายให้เยอะนั่นเอง"

          ที่ปรึกษากรมอนามัยคนนี้เกษียณมาได้ 5 ปีแล้วไม่เคยเจ็บป่วย เนื่องจากเป็นนักโภชนาการ รู้เรื่องการกินอาหารที่ถูกหลักอนามัย รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รับประทานอาหารหลากหลาย รับประทานปลามากกว่าสัตว์อื่น ออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 4-5 วัน วันละ 30-45 นาทีด้วยการ วิ่งเหยาะๆ

          "อีกอย่างที่สำคัญ คือเราต้องควบคุมอารมณ์ เมื่อรู้ว่าโกรธ ก็สลัดความโกรธ ความกังวล ความเครียด หันไปออกกำลังกายดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมที่เราชอบ ผมเป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่ สูบบุหรี่ พักผ่อนนอนหลับให้ครบ 7 ชั่วโมง นอน 4 ทุ่ม ตื่นตี 5 ถ้าเรานอนเกิน 7-8 ชั่วโมงก็ไม่ดีเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์"

          ประโยชน์ของทุเรียน

          สรรพคุณของทุเรียนตามตำราไทยก็คือ รากต้นทุเรียนมีรสฝาดแก้ไข้และโรคท้องร่วง ใบมีรสขม เฝื่อน ให้ฤทธิ์เย็นแก้ดีซ่าน ขับพยาธิ เปลือกมีรสฝาดเฝื่อน มีสรรพคุณสมานแผล แก้ฝี น้ำเหลืองเสีย เนื้อทุเรียนมีรสหวานให้ฤทธิ์ร้อน แก้จุกเสียด ในท้อง บำรุงกำลัง แถมล่าสุดทางเภสัชวิทยายังบอกว่า เนื้อทุเรียนนั้นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดไขมันในเลือด

          เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุชผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า

          "ในทุเรียนมีสารกำมะถัน หรือเรียกว่าสาร ทรงกลิ่น เป็นสารที่ทรงคุณค่ามีชื่อเต็มๆ ว่า Organosulfur เป็นยาปฏิชีวนะธรรมชาติ บำรุงกระดูกและฟัน และมีเส้นใยอาหารที่ดี มีทั้งเส้นใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ มีไฟเบอร์ ช่วยล้างพิษในลำไส้ ช่วยในการระบาย กระตุ้นการขับถ่าย นี่คือข้อดีของการกินทุเรียนในตอนเช้าที่ไม่เกี่ยวกับลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่ควรกินทุเรียนเกินวันละ 1-2 พู ควรจะกินบ้างลืมบ้างอย่ากินทุกวัน "

          ทุเรียนยิ่งสุกงอมมากก็จะยิ่งมีน้ำตาลสูง ทุเรียนแต่ละพันธุ์มีความหวานและประโยชน์ที่ต่างกันให้สังเกตุที่สีของทุเรียน เช่น พันธุ์ชะนีไข่จะมีสีเข้มกว่าพันธุ์หมอนทอง ยิ่งมีสีเข้มเท่าไหร่ก็จะมีวิตามิน A มีเบต้าแคโรทีนมากตามความเข้มของสี

          "บางคนชอบกินทุเรียนเนื้อห่ามๆ แป้งจะเยอะ ต้องระวังท้องอืด เพราะทุเรียนยังไม่สุกดี คนที่มีปัญหาสุขภาพเช่นเป็นโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน อาจมีปัญหาได้ พอทุเรียนสุก ก็จะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล พอทุเรียนสุกมากจนเป็นเนื้อปลาร้า จะไม่มีเส้นใยอาหารเหลืออยู่ มีน้ำตาลฟรุคโตสที่เป็นผู้ร้ายมาแทนที่ ทางที่ดีถ้าเรากินทุเรียนไม่หมดเก็บไว้อย่างถูกวิธี เช่น แช่เย็นฟรีซไว้ ก็จะเป็นการช่วยถนอมอาหาร ล็อคสารอาหารดีๆ ไว้ได้"

          ทุเรียนแปรรูปอื่นๆ เช่นทุเรียนห่ามหรือดิบที่อุดมไปด้วยแป้งที่ทานแล้วเสี่ยงต่อท้องอืด เมื่อนำมาทอดกลายเป็นทุเรียนทอดช่วยลดท้องอืดได้ ทว่าควรระวังเพราะรับประทานมากไปอาจทำให้เกิดไขมันสะสม ส่วนทุเรียนเชื่อม ทำให้เกิดปัญหากลายเป็นซุปเปอร์แคลอรี่ได้ การนำทุเรียนห่าม หรือทุเรียนอ่อนมาประกอบอาหาร เช่น แกงส้มทุเรียน แกงมัสมั่นไก่ใส่ทุเรียน จะทำให้สารอาหารบางอย่างถูกทำลายด้วยความร้อน เช่น วิตามิน B ที่ช่วยในเรื่องของระบบประสาท

          "ข้าวเหนียวทุเรียนก็เช่นกัน หากรับประทานมากก็จะทำให้อ้วนเพราะไขมันดับเบิ้ล เวลา รับประทานควรจะทานข้าวให้น้อยหน่อย ความจริง เมนูนี้เป็นภูมิปัญญาของคนไทยโบราณ เพราะกะทิในข้าวเหนียวทุเรียนจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน A ได้ดี ความฉลาดของธรรมชาติ อย่างที่บอกความเข้มของสีจะเป็นตัวบ่งบอกวิตามิน และเบต้าแคโรทีนในผลไม้ ความมันในตัวของผลไม้ก็จะเป็นตัวช่วยในการดูดซึมวิตามินแร่ธาตุเหล่านั้น เช่น ความหวานมันของทุเรียนแต่ละสายพันธุ์ก็จะแตกต่างกันไปเป็นต้น"

          พูดถึงความฉลาดของธรรมชาติและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย เมื่อทุเรียน ราชาแห่งผลไม้ออกผล ขณะเดียวกันก็มีราชินีของผลไม้อย่างมังคุดออกมาเคียงข้าง คนโบราณจึงบอกไว้ว่า ทานทุเรียนแล้ว ต้องทานมังคุดตามเพราะเป็นผลไม้ที่แก้กัน นอกจากนั้นผลไม้ในหน้าฝนอยางลางสาด มะไฟ ผลไม้ที่มีเนื้อเป็นวุ้นๆ ต่างมีเส้นใยอาหารแบบละลายน้ำ ช่วยล้างไขมัน สามารถล้างบาปความหวานของทุเรียนได้

          อันตรายของทุเรียน

          ข้อดีก็มี ข้อเสียก็ไม่น้อย แต่ถ้ากินไม่ถูกวิธีถึงขั้นอันตรายเลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ต่างลงความเห็นว่า ทุเรียนไม่ควรรับประทานกับ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ วิสกี้ ไวน์ ฯลฯ เนื่องจากในทุเรียนมีกรดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (ชนิดหนึ่งของกรดกำมะถัน) ทำให้เกิดความร้อน เมื่อเจอกับแอลกอฮอล์จะทำให้ความร้อนสูงมากร่างกายอาจจะทนไม่ได้ หัวใจทำงานหนัก อาจทำให้เสียชีวิตได้

          ทุเรียนไม่ควรรับประทานควบคู่กับอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น เค้ก ทองหยิบ ฝอยทอง สังขยา ทองหยอด และน้ำอัดลม ไม่ควรรับประทานควบคู่กับผลไม้ที่ให้ความหวานสูงอย่างเช่น ขนุน ลำไย มะม่วงสุก ฯลฯ

          แม้ว่าจะมีแพทย์บางกลุ่มออกมายืนยันว่า ทุเรียนมีฤทธิ์ลดไขมันในเส้นเลือดได้ แต่ก็เป็น ผลไม้ที่มีแป้ง และน้ำตาลสูงจึงไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่าง เบาหวาน หัวใจ และ ความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือด แม้แต่คนปกติ ที่ไม่เป็นโรคเหล่านี้ก็ควรระมัดระวังไม่ควรตามใจปาก อย่าลืมว่าการรับประทานทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่าการดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง รับประทานข้าว 4-5 ทัพพี ให้พลังงาน 400 กิโลแคลอรี่

          ถึงตอนนี้ใครที่ยังลังเล คงได้คำตอบแล้วว่า... ทุเรียนทานได้ แต่ต้องไม่ประมาท

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 17 มิถุนายน 2558