เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

คนไทย “ออมทอง” เพิ่มขึ้น แม้ราคาพุ่ง เน้นซื้อเก็บทีละน้อย เชื่อปี 2567 ราคาอาจทำสถิติใหม่

ข่าววันที่ : 6 พ.ย. 2566


Share

tmp_20230711134814_1.png

วันที่ ปรับปรุง 7 พ.ย. 2566

                “ทองคำ” ได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือสินทรัพย์มั่นคง “Safe Haven” ที่ได้รับความนิยมสูง และยิ่งในช่วงเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ หรือ สงคราม ทองคำก็มักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ เนื่องจากเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ ทำให้ราคาก็มักจะเพิ่มสูงขึ้น ด้วยความที่เป็นที่ต้องการมากขึ้น จึงกลายเป็นที่สนใจของหมู่นักลงทุนเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกกันว่า “ที่หลบภัย” ของหมู่นักลงทุนนั่นเอง 

                แต่ทั้งนี้ทองคำก็นับเป็นสินทรัพย์การเงินที่มีความอ่อนไหวของราคาที่สูง มีปัจจัยใดๆ มา ก็อาจส่งผลให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นการลงทุนทองคำจึงจำเป็นต้องอาศัยการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

                ซึ่งหากดูจะพบว่า “ราคาทองคำไทย” เคยราคาแค่เพียงบาทละ 416 บาทเมื่อปี 2510 แต่ปัจจุบัน ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 ราคาทองคำรูปพรรณซื้อบาทละ 32,806.24 ขายออกบาทละ 34,000 ส่วนราคาทองคำแท่ง ซื้อบาทละ 33,400 ขายออกบาทละ 33,500 

                ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานกรรมการบริหารและทายาทเจ้าของธุรกิจทองคำแท่ง GCAP GOLD มองเทรนด์ราคาทองคำว่า ภาพรวมราคาทองคำจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูง โดยรวมมูลค่าการซื้อขายเติบโตขึ้นตามราคาทองที่ผันผวนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนเข้ามาสนใจในตลาดค้าทองคำมากขึ้นเช่นเดียวกัน 


คนรุ่นใหม่หันมาออมทองมากขึ้น
                ซึ่งเทรนด์ในการเติบโตของราคาทองจะเห็นได้ว่า เพิ่งผ่านจุดที่สูงสุดในตลาดเมืองไทยก็ว่าได้ จึงเป็นจุดหนึ่งที่นักลงทุนที่ออมเงินหันมาสนใจการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น ท้ังนี้นักลงทุนรุ่นใหม่ยังมีการปรับตัวจากการเน้นซื้อทองรูปพรรณ มาเป็นการซื้อทองคำแท่งและลงทุนกับทองมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะด้วยความที่ทองถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน หรือเก็บออมเพื่ออนาคต เพราะยิ่งเวลาผ่านไปมูลค่าทองก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ 

                ส่วนอีกสองเดือนสุดท้ายของปี 2566 ราคาทองจะมีโอกาสขยับขึ้นหรือไม่ ธนพิศาล มองว่า มีหลายปัจจัยที่จะต้องติดตาม ทั้งเรื่องของดอกเบี้ย สงคราม และเรื่องค่าเงินบาทอ่อนค่า ที่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ราคาทองปรับขึ้น ดังนั้นราคาทองยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น แต่อาจจะต้องดูสถานการณ์สงคราม เงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย

                ส่วนระยะเวลาสองเดือนที่เหลือนี้เป็นช่วงเวลาที่เดาตลาดได้ยาก เพราะอาจจะเกิดการผันผวน แต่หากมองในระยะยาวราคาทองจะพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในหน่วยของเงินบาท หรือเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ในช่วงเดือนธันวาคมตลาดทองจะเริ่มเงียบ นอกจากจะมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น

                หลังจากนั้นก็จะต้องไปดูในปี 67 ในเรื่องของภาวะซบเซาของอเมริกาในตลาดช่วงราวๆ ไตรมาส 2 ว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวหรือไม่ และจะต้องดูว่า Asset อะไรที่นักลงทุนจะวิ่งเข้าหา หุ้น ทองคำ ฯลฯ อีกทั้งสภาวะเรื่องของเงินดอลลาร์ เงินบาท ว่าจะอ่อนหรือไม่ ซึ่งมองว่า ธนบัตรอาจจะกลับมา และทองคำอาจจะกลับมาอีกรอบหนึ่ง หากคุมเงินเฟ้อได้

                “ปี 67 คิดว่าราคาทองจะขยับขึ้นจ่อนิวไฮ เนื่องจากทองคำไม่มีวันสิ้นสุด แต่ก็ต้องมาดูค่าเงินบาท ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์นโยบายการเงินของประเทศ ดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยหลักๆ ส่วนโอกาสที่ราคาทองจะพุ่งสูงขึ้นหรือไม่มองว่ามีโอกาส แต่กระนั้นทองคำก็มีวงโคจร มีช่วงที่ซึม ลง ไม่ขยับเป็นปีๆ ก็มีด้วยเช่นกัน ดังนั้นราคาทองในตลาดจึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่ถามว่าแนวโน้มมีโอกาสขึ้นสูงหรือไม่มองว่า “มี” แต่ต้องดูสถานการณ์ปัจจัยตอนนั้น ทั้งสถานการณ์โลก เศรษฐกิจ ตัวเลขดอกเบี้ย ตลาดหุ้น วิกฤติต่างๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีผลต่อราคาทอง” 

                ส่วนประเภทของทองคำที่นิยมอย่าง ในอดีตคนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ มักซื้อเก็บเป็นทองรูปพรรณ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นทองคำแท่ง กว่า 90% อีกทั้งออมทอง ที่ผ่านมาก็โตเรื่อยๆ ฉะนั้นหากโปรดักต์ทองสามารถเข้าถึงได้หลายๆ ช่องทาง ก็จะทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น รวมทั้งฐานลูกค้าที่ซื้อขายในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ที่มีกำลังซื้อ ส่วน Trading หรือออมทองจะเป็นหลายช่วงอายุ 

                “ทองคำในระยะยาวยังไงก็โต เพราะจาก 20-30 ปีที่ผ่านมา ทองเฉลี่ยพุ่งสูงต่อเนื่อง ดังนั้นเทรนด์การออมทองยังคงไปอย่างต่อเนื่อง หากต้องการออมทอง แนะนำว่าซื้อในรูปของเงินบาทจะปลอดภัยที่สุด มั่นคง และค่อยๆ ขยับ เนื่องจากหน่วย USD มีความผันผวน ดังนั้นการออมทองเป็นสกุลเงินบาทจะมีความมั่นคงต่อการขยับของราคา ทำให้สามารถออมได้สม่ำเสมอ และราคาไม่เหวี่ยงมาก”

 

คนไทยมีความรู้เรื่องการออมทองมากน้อยแค่ไหน?
                ด้าน ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD มองว่า คนไทยเคยชินกับการออมทองมาแต่ไหนแต่ไร แต่ด้วยเทคโนโลยีทำให้สามารถออมทองได้ทีละน้อยๆ เพียงหลักร้อย ทำให้ในปัจจุบันคนออมทองเยอะขึ้น เนื่องจากคนไทยมีความชื่นชอบทองคำอยู่แล้ว ดังนั้นทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการออมสำหรับคนรุ่นใหม่ 

 

ทองคำแท่งสภาพคล่องสูงกว่าทองคำรูปพรรณ
                "พฤติกรรมของคนไทยนิยมซื้อเป็นทองคำรูปพรรณ 96.5% ดังนั้นหากต้องการซื้อเพื่อการออมแนะนำเป็นทองคำแท่งจะเสียค่าธุรกรรมน้อยกว่า มีสภาพคล่องสูงกว่า โดยที่ออมทองส่วนใหญ่คนนิยมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 บาท เน้นออมทีละน้อยๆ ซึ่งมีคนออมเดือนละหลักหมื่นก็มี แต่ของ GCAP เริ่มต้นออมได้ที่ 500 บาท รวมทั้งคนไทยเน้นถือทองคำเป็นสินทรัพย์ระยะยาว" ชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

 

ที่มา  :  https://www.thairath.co.th/money/investment/gold/2738575