เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

ธ.ก.ส. แอ่นรับนโยบายใหม่

ข่าววันที่ : 20 มิ.ย. 2562


Share

tmp_20192006091141_1.png

วันที่ ปรับปรุง 20 มิ.ย. 2562

         นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการ และโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้เตรียมพร้อมทำมาตรการช่วยเหลือภาคการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลใหม่ไว้แล้ว ทั้งโครงการประกัน รายได้เกษตรกร ปฏิรูปภาคการเกษตร แก้ปัญหาหนี้ นอกระบบ และเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยได้ปรับโครงสร้างภายในองค์กร ซักซ้อมความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ การทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และเทคโนโลยีไว้พร้อม

          ทั้งนี้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร จะนำตัวอย่างการทำโครงการรับประกันรายได้ข้าวเปลือก สมัยพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 52 ซึ่งใช้เงินการประกันรายได้ฤดูกาล 50,000 ล้านบาท ช่วยเหลือชาวนาได้ 3 ล้านครัวเรือน มาเป็นต้นแบบในการนำเสนอ แต่งบประมาณที่ใช้ในรอบนี้ยังระบุไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งต้นทุนการผลิต ขนาดพื้นที่เพาะปลูก ราคาตลาด ปริมาณผลผลิต และราคาประกันรายได้ นอกจากนี้ ธ.ก.ส.จะเสนอให้นำระบบเทคโนโลยีดาวเทียมเข้ามาควบคุมพื้นที่เพาะปลูก เพื่อป้องกันไม่ให้สวมสิทธินำที่ว่างเข้ามาขอเงินประกัน

          ส่วนนโยบายการลงทะเบียนบัตรสวัสดิ การแห่งรัฐรอบใหม่ ได้ซักซ้อมความเข้าใจกับพนักงาน และเครือข่ายสาขา 1,273 แห่ง หน่วยอำเภอทั่วประเทศ รวมถึงพนักงาน ธ.ก.ส. ทั้งหมด 22,000 คน เพื่อรองรับการลงทะเบียนไว้แล้ว และ ยังปรับโครงสร้างองค์กร ให้มีฝ่ายกิจการนโยบายรัฐ และสายงานพัฒนาผู้มีรายได้น้อย ซึ่งตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้ดีกว่าเดิม ทั้งการช่วยพัฒนาอาชีพ หรือการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

          ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส. ยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 8 แห่ง จัดโครงการ ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ครั้งที่ 2 ประจำปี 62 วันที่ 26-28 มิ.ย. นี้ ณ บริเวณด้านหน้า ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกรทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีพื้นที่ในการจัดจำหน่ายสินค้าเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น คาดว่าจะมีเงินสะพัดในงาน 10 ล้านบาท

          นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ต้องรอนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเดินหน้าต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่  แต่ที่ผ่านมาเป็นโครงการที่มีประโยชน์มากสามารถช่วยลดค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยถึง 14.5 ล้านคน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถช่วยสร้างโชห่วยที่เข้าร่วมโครงการ 70,000 ร้าน รวมถึงช่วยให้ผู้ผลิตสินค้าชุมชนมียอดขายสินค้าเพิ่มและเศรษฐกิจท้องถิ่นดีขึ้นจากเงินการใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ล้านบาท

 

ที่มา  :  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  วันที่ 20 มิถุนายน 2562