เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

Digital Economy...Digital HR ตอนที่1 จุดเริ่มต้นของHR Digitalization

ข่าววันที่ :3 ก.ย. 2558

Share

tmp_20150309111947_1.jpg

          ทุกคนหันมาให้ความสนใจกับ "Digital Economy" หรือ "เศรษฐกิจแบบดิจิตอล" คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการผ่านทางนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม การก้าวสู่การเป็น "เศรษฐกิจแบบดิจิตอล" ประเทศจำเป็นต้องมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที กรอบกติกาและกฎหมาย การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปรับตัวและปรับทัศนคติของประชาชน

 

          ในวงจรเศรษฐกิจ ต้นทุนทางธุรกรรมจะพบเห็นได้ทั่วไป เช่น ภาคครัวเรือนในฐานะผู้บริโภคมีต้นทุนจากการสั่งซื้อสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปซื้อสินค้าด้วยตัวเอง หรือการทำธุรกรรมโอนเงินที่ธนาคาร เช่นเดียวกับภาคธุรกิจ ผู้ผลิตมีต้นทุนทางธุรกรรมจากการที่ต้องแสวงหาปัจจัยการผลิต ภาครัฐมีต้นทุนทางธุรกรรมในการเก็บภาษี เป็นต้น ความสำเร็จของ "เศรษฐกิจแบบดิจิตอล" จึงเป็นความสามารถในการที่จะเชื่อมโยงวงจรเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคต่างประเทศ โดยต้องมี "ต้นทุนทางธุรกรรม" ให้น้อยที่สุด ถ้าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการพัฒนามากขึ้น อัตราการขยายตัวการใช้เครื่องมือสื่อสารเพิ่มขึ้น การเข้าถึงแหล่งข้อมูลโดยใช้ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างแพร่หลาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนทางธุรกรรมให้กับระบบเศรษฐกิจ และจะเป็นเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจแบบดิจิตอล

 

          การนำเทคโนโลยี Digital มาใช้นอกจากจะช่วยให้ต้นทุนในการประกอบการไม่ว่าจะเป็นในด้านการผลิตหรือ การจัดจำหน่ายลดต่ำลงแล้ว ยังช่วยต่อยอด การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้ง e-Commerce ยังเป็นช่องทางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการแทนช่องทางเดิม ซึ่งปัจจุบันได้แตกแขนงไปเป็น Mobile Commerce และ Social Commerce จากการศึกษาของ McKinsey ในกลุ่มประเทศ G8 ที่พัฒนาแล้ว รวมทั้งประเทศสำคัญๆ ที่มีขีดความสามารถต่างกันไปอีก 5 ประเทศ คือ บราซิล จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และสวีเดน พบว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SME ที่นำเอา Internet และ Web มาใช้อย่างจริงจัง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยเฉลี่ย 10% และส่งออกได้มากกว่าธุรกิจที่ไม่ได้ใช้ถึง 2 เท่าตัว

 

          ภายใต้ Digital Economy องค์กรต้องปรับตัวไปเป็น Digital Organization โดยนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาช่วยงาน 4 ประเภท ได้แก่ Social, Mobility, Analytics และ Cloud Technologies

สถาบันอนาคตศึกษา เช่น The Institute for the Future (IFTF) ได้ระบุว่าปัจจัยที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อรูปแบบการทำงานขององค์กรในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ คือ การใช้ Social Technology แบบผสมผสานสำหรับการสื่อสารในองค์กรเพื่อสร้างการร่วมมือ (Collaboration) การใช้อุปกรณ์ เช่น Tablet  และ Smart Phone เพื่อสร้างความคล่องตัว (Mobility) สนองตอบการทำงานที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ (Any place, any time) การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ให้เป็นระบบเพื่อช่วยการวิเคราะห์ (Analytics)

 

          นอกจากนี้ ใน Digital Organization การสื่อสารของผู้นำจะไม่ได้จำกัดแค่ในระดับบุคคลต่อบุคคล

หรือบุคคลกับกลุ่มบุคคล แต่จะผ่านทางกลุ่มเมฆเครือข่าย (Cloud Networking) มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์

ในหลายรูปแบบ ทำให้ผู้รับข่าวสารมีได้ในทุก สถานที่และทุกเวลา การศึกษาของ McKinsey ยังพบว่าองค์กรที่ปรับเปลี่ยนไปเป็น Digital Organization สามารถลดต้นทุนจากการเลิกจ้างงานพนักงานที่ไม่จำเป็น แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีดิจิตอลก็ทำให้เกิดการสร้างงานใหม่ทดแทนโดยเฉลี่ย 2.6 อัตรา ต่อการลดงานไป 1 อัตรา เช่นเดียวกับการศึกษาของ PwC กับกลุ่มตัวอย่างซีอีโอ พบว่า กุญแจสำคัญที่ซีอีโอส่วนใหญ่นำมาใช้การปรับองค์กรให้เป็น Digital Organization คือ การพัฒนาเทคโนโลยีบนมือถือ และการทำงานบนอุปกรณ์ไร้สาย (Mobile Techno- logy) รวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลที่เรียกว่า Big Data

 

          ภายในสิ้นปี 2558 จำนวนเครื่องมือสื่อสาร (Connected devices) ในโลกจะเพิ่มเป็น 2.5 หมื่นล้านเครื่อง หรือคิดเป็น กว่า 3 เท่าของประชากรในโลกทั้งหมดรวมกัน (7.2 พันล้านคน) คนรุ่นใหม่แม้จะมีพื้นฐานในสิ่งที่เรียกว่า "ดิจิตอลเนทีฟ" (Digital Natives) สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารที่หลากหลาย เชื่อมต่อกับสังคมออนไลน์เพื่อสนองตอบความต้องการในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเช้ามาเป็นพนักงานก็ยังจำเป็นต้องพัฒนาทักษะให้รองรับการเป็น Digital Organization เช่น ทักษะในการใช้ประโยชน์จากสื่อ (Media Literacy Ability) ทักษะในการจัดลำดับและแยกแยะข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่มีความสำคัญ (Cognitive Load Management Ability) ทักษะในการแปลความหมายของข้อมูลที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาลไปสู่สิ่งที่เป็นประโยชน์ (Computational Thinking Ability)  รวมทั้งทักษะในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นในลักษณะ Virtual Team ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Virtual Collaboration) ความท้าทายในการพัฒนาทักษะเหล่านี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนงานบริหารทรัพยากรบุคคลให้เข้าสู่ความเป็นดิจิตอล (HR Digitalization) หรือเป็น Digital HR เพื่อรองรับการเป็น Digital Organization ในยุค Digital Economy

 

          งาน HR ในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลอยู่บ้างแล้ว เช่น ระบบบริการงาน HR ด้วยตนเอง (Employee Self-Service Online) ระบบการสรรหาและ Branding โดยใช้ Social Media ระบบการเรียนรู้ผ่าน e-Learning เมื่อปรับเปลี่ยนเป็น Digital HR ระบบต่างๆ เหล่านี้ ต้องพัฒนาต่อยอดให้เป็น Mobile Application หมายความว่าจะใช้งานที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ผ่านเครื่องมือ Smart Phone หรือ Tablet ที่สามารถพกติดตัวไปได้ ในส่วนของข้อมูลพนักงาน พนักงานสัญญาจ้าง และกลุ่มเป้าหมายที่จะจ้าง ซึ่งมีปริมาณมาก (Volume) ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว (Velocity) และอยู่ในหลายรูปแบบ (Variety) จัดเป็นข้อมูลประเภท HR Big Data ต้องนำมาจัดให้เป็นระบบ (Structure) เพื่อสรรหาคนที่ใช่ (Talent Matching) ทั้งจากภายในและภายนอก นำมาวิเคราะห์ (Analytics) และบริหารเป็นรายบุคคล  สำหรับระบบ Mobile Application แม้จะช่วยในเรื่องเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) แต่เครื่องมือสำคัญที่ Digital HR ต้องนำมาใช้ควบคู่ไปด้วย คือระบบเครือข่ายสังคมในองค์กร (Social Networking) เพื่อสร้างความร่วมมือและผูกพันในองค์กร (Collaboration)  นอกจากนี้เครื่องมือที่สามารถใช้ร่วมกับ Mobile Application และทำให้ระบบเครือข่ายสังคมน่าสนใจยิ่งขึ้นคือ Gamification ซึ่งทำให้การเรียนรู้ (e-learning) เป็นเสมือนเกมการแข่งขัน และใช้งานง่าย (User Friendly) มีระบบเก็บคะแนนที่ชัดเจน รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ คะแนนในการเรียนรู้ของเราเป็นเท่าไรเมื่อเทียบกันคนอื่น ใครกำลังเป็นผู้ทำคะแนนนำอยู่ และเมื่อครบตามเวลาที่กำหนดไว้ ใครที่มีคะแนนสูงสุดก็จะได้รับรางวัลไป ในขณะเดียวกันระบบก็จะเชิญชวนกึ่งท้าทายให้คนอื่นๆ อยากจะเข้ามาเรียนรู้ด้วย การใช้ Gamification ไม่ใช่จำกัดเฉพาะการเรียนรู้และพัฒนาเท่านั้น ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงาน HR อื่นๆ เพื่อสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เป็น Achievement ย่อยๆ ที่พนักงานสามารถบรรลุและให้ Feedback ได้ง่าย เช่น จำนวนครั้งที่มาทำงานตรงเวลา จำนวนวันต่อเนื่องที่ไม่เกิดอุบัติเหตุในงาน การใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองผ่านทาง Application แข่งขันออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการวัดจำนวนก้าวที่เดินในแต่ละวัน  หรือ Application บนระบบ Social ที่เชิญชวนพนักงานให้รางวัลยกย่องชมเชยโดยการติด Badge หรือ เหรียญตราออนไลน์ คล้ายๆ กับการสะสมคะแนน โดยนับจำนวนครั้งที่เกิดพฤติกรรมที่ องค์กรต้องการ (เปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างก่อนและหลังการเล่นเกม) และเมื่อได้ครบตามจำนวนภายในเวลาที่กำหนด ก็จะได้ Badge ไปครองพร้อมคำชมเชยและรางวัล เป็นต้น

          ในตอนต่อไปจะพูดถึงปัญหาและอุปสรรคในการไปสู่ Digital HR และการกำหนดแผนการปฏิบัติ (Tactical Plan)

 

          ที่มา : ASTVผู้จัดการ 11 พ.ค. 58