เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

ธุรกิจเด้งรับงบรากหญ้าเชียร์สนั่นแห่อัดโปรฯแหลกดูดกำลังซื้อ

ข่าววันที่ :2 ก.ย. 2558

Share

tmp_20150209104944_1.jpg

          หลังการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) "ประยุทธ์ 3" พร้อมเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจใหม่ มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีม หลายฝ่ายโดยเฉพาะภาคเอกชน ต่างเฝ้าดูรายละเอียดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่  ว่าจะโดนใจและฟื้นความเชื่อมั่นได้หรือไม่ นั้น

          ล่าสุด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เผยว่า ที่ประชุมครม.(1 กันยายน 2558) มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนแรก วงเงินราว 1.36 แสนล้านบาท โดยจะเร่งรัดการใช้จ่ายให้เม็ดเงินลงสู่ระบบภายในปีนี้ เพื่อให้เห็นผลในระยะสั้นโดยเร็ว จากการหมุนเวียนของเม็ดเงินดังกล่าว ต่อจากนี้รัฐบาลยังมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อฟื้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยภายใน 1-2  สัปดาห์นี้ จะนำเสนอมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี(SMEs)ให้ครม.พิจารณา  "ไม่ใช่โครงการประชานิยมแน่ และไม่ได้ยืมใครมา อะไรที่ช่วยประชาชนได้ ก็ต้องทำไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหน" นายสมคิดกล่าว (อ่านรายละเอียดมาตรการกระตุ้น หน้า4)

          แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเผยว่า สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ในมาตรการกระตุ้นครั้งนี้ จะใช้งบกลางปีงบประมาณ 2558-2559 ที่มีวงเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ที่รัฐสามารถนำมาใช้ได้ทันที โดยคาดหมายว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน กระจายการลงทุนไปในพื้นที่ทั่วประเทศ ตลอดจนผลักดันให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างทั่วถึง คาดเม็ดเงินจะลงมือประชาชนภายในเดือนกันยายนนี้ และจะพยุงเศรษฐกิจให้ปีนี้สามารถขยายตัวได้ที่ 3% และเป็นแรงส่งถึงการลงทุนในปีหน้า

          หวังเพิ่มมาตรการระยะกลาง

          นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นชุดนี้เข้ามาเร่งผลักดันอาจช่วยพลิกเศรษฐกิจฟื้นกลับมาได้ ในส่วนกระตุ้นการบริโภคน่าจะเป็นผลภายในปีนี้ แต่ผลการเบิกจ่ายภาครัฐต้องรอดูตัวเลขช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ ว่าจะมีเม็ดเงินออกมาได้มากน้อยเพียงใด

          ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า เวลานี้เศรษฐกิจฝืดเคืองมาก มาตรการที่ออกมาถือว่าดีและน่าจะเห็นผลในระยะสั้น จากการมีเงินหมุนเวียนในระบบ แต่ต้องดูระยะต่อไปว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร เพราะมาตรการที่ออกมาเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องยนต์เดินหน้าได้เท่านั้น "ถ้าเครื่องจักรจะเดินหน้าเต็มที่ ต้องมีมาตรการอื่นมาเสริม จึงต้องตามดูต่อไป ว่าจะมีมาตรการระยะกลางอะไรออกมา ส่วนมาตรการระยะยาวมีพอแล้ว"

          ส่วนมุมมองดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บมจ.ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  กล่าวว่า มาตรการครั้งนี้เหมือนเขื่อน ป้องกันผลกระทบจากภาคเกษตรหรือผู้มีรายได้น้อย ที่กำลังซื้อหดหาย หากปล่อยตามกลไกตลาดต่อไป จะลุกลามถึงคนรายได้ปานกลางและเขตเมืองในต่างจังหวัด หากถึงจุดนั้นการกระตุ้นจะทำยากยิ่งขึ้น และใช้เม็ดเงินมากขึ้นกว่านี้ จึงถือเป็นภารกิจจำเป็นเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นโครงการระยะสั้น มากกว่าหวังผลระยะยาว จึงไม่ถือเป็นประชานิยม แต่ในท้ายที่สุดนักลงทุนยังคงรอการขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่อยู่ดี

          เอกชนสานเสียงเชื่อฟื้นความเชื่อมั่น

          การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ภาคเอกชนต่างขานรับ โดยเห็นว่าจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของกลุ่มฐานราก และเป็นโอกาสการทำยอดขายของสินค้าที่อิงฐานผู้บริโภคในท้องถิ่นทั่วประเทศ จึงเตรียมแผนรับอย่างคึกคัก โดยนางสาวสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด หรือ ไทวัสดุ กล่าวว่า มาตรการที่ออกมาจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทำให้เศรษฐกิจเคลื่อนตัว ที่สุดคนก็คิดเรื่องซ่อมแซมหรือต่อเติมบ้าน จากเดิมที่เคยชะลอไปก่อน เพราะยังไม่มั่นใจ  ดังนั้นช่วงที่เหลือของปีนี้ ไทวัสดุวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายประจำทุกเดือน พร้อมกับเตรียมจัดแคมเปญใหญ่ประจำไตรมาส 4 รวมถึงการเปิดตัวสาขารังสิตอย่างเป็นทางการ"ในปีนี้ถึงแม้ช่วงครึ่งแรกเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ไทวัสดุก็มียอดขายเติบโต 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 9 พันล้านบาท และถึงปลายปีนี้คาดว่าจะโตประมาณ 15% รวมถึงบรรลุเป้ายอดขายประมาณ 2 หมื่นล้านบาท"

          เช่นกันนายวิฑูรย์ สุริยวนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม โกลบอล เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า เป็นการเพิ่มกำลังซื้อโดยเฉพาะลูกค้าในต่างจังหวัด ซึ่งตรงกับฐานธุรกิจของกลุ่ม บริษัทพร้อมจะรองรับการเติบโตของกำลังซื้อ และในปีนี้ตลาดวัสดุก่อสร้างในต่างจังหวัดดีกว่าปีที่ผ่านมา ทางบริษัทมีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายตามฤดูกาลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายช่วงครึ่งปีแรก ทำได้ประมาณ 9 พันล้านบาท เติบโตประมาณ 10% และทั้งปี 2558 คาดว่าจะทำยอดขายได้ 1.8-2.0 หมื่นล้านบาท โดยเปิดสาขาใหม่ที่นครนายก

          นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า  จะออกมาตรการอะไรมากระตุ้นก็เป็นเรื่องดี แต่อยากให้มีผลบังคับใช้ทันที อย่าได้รอเวลา โดยเฉพาะเศรษฐกิจในกลุ่มรากหญ้า เนื่องจากเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใน เมื่อประชาชนระดับรากหญ้าเกิดความมั่นใจในการบริโภค ก็จะทำให้วงล้อเศรษฐกิจมีการเคลื่อนไหว

          ด้านนายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นนี้ จะช่วยพยุงเศรษฐกิจแน่นอน ส่วนภาพรวมตลาดรถยนต์นั้นยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่ง-เก๋งขนาดเล็กที่ลดลงอย่างมาก ส่วนรถปิกอัพมีอัตราการเติบโตลดลงน้อยกว่ารถเก๋ง ด้านกลุ่มที่มีความคึกคักคือรถพีพีวี ที่มีรุ่นใหม่สู่ตลาด

          "ที่กังวลคือภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว ซึ่งในระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นผล แต่ในระยะกลางและระยะยาว หากไม่เร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่น ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนเส้นทางไปยังประเทศอื่นแทน ส่วนการลงทุนในโครงการต่างๆ ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจน เพราะยังไม่มีการก่อสร้าง ทำให้ยังไม่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามา โดยคาดว่าโครงการต่างๆ เหล่านี้จะเริ่มเห็นผลในปีหน้า"

          ค้าปลีกมั่นใจฟื้นรากหญ้า

          กลุ่มค้าปลีกก็หนุนมาตรการกระตุ้น นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการ ฝ่ายกิจการ บรรษัทเทสโก้โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทมฯ ผู้บริหาร "เทสโก้ โลตัส" แสดงความเห็นด้วยอย่างยิ่ง และว่า ที่ผ่านมาเทสโก้ โลตัสก็พยายามปรับลดราคาสินค้าลงให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่ภาคเศรษฐกิจส่งสัญญาณไม่ดี ซึ่งในไตรมาส 4 บริษัทจะใช้งบราว 30-40% หรือประมาณ 900 - 1,200 ล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมดกว่า 3 พันล้านบาท ในการนำมาใช้ลดราคาสินค้าให้กับผู้บริโภค

          "การเพิ่มรายได้ให้กับรากหญ้า ทำให้มีการจับจ่าย กระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ จะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเงิน เป็นวัฏจักร แต่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตมากน้อยแค่ไหนในไตรมาส 4 ยังต้องรอดูถึงโครงการต่างๆ ที่จะออกมา และผลตอบรับจากผู้บริโภคด้วย"

          ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวสนับสนุนว่าจะส่งผลดีและแก้ตรงจุด ถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ความสามารถในการหมุนเวียนจับจ่าย ภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมืออย่างมาก เพื่อเป็นแรงผลักดันให้มาตรการต่างๆ ประสบความสำเร็จ โดยเซ็นทรัลเองต้องเตรียมจัดงาน จัดอีเวนต์ จัดโปรโมชัน เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจคึกคัก โดยมาตรการที่เกิดขึ้นจะช่วยทำให้บรรยากาศในไตรมาส 4 กลับมาเติบโตขึ้นตามไปด้วย

          ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.)กล่าวว่า จากที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปติดตามและตรวจสอบราคาสินค้าเพื่อช่วยให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น โดยเห็นว่าขณะนี้ราคาน้ำมันได้ปรับลดลงต่อเนื่อง เหตุใดราคาสินค้าจึงไม่ลดลง ในเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์เตรียมที่จะเชิญผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และห้างสรรพสินค้ามาหารือภายใน 2 สัปดาห์นี้ เพื่อหาทางปรับลดราคาสินค้าทั้งระบบ

          ผวาเงินเฟ้อติดลบรอบ6ปี

          ขณะเดียวกันตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจยังสะท้อนความซบเซา โดยนายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(เงินเฟ้อ)ประจำเดือนสิงหาคม 2558 เท่ากับ 106.33 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2558 ลดลง 0.23% และเทียบกับเดือนสิงหาคม 2557 ลดลง 1.19% ถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ของปีนี้(สรุป 8 เดือนแรกปี 2558 เงินเฟ้อยังติดลบที่ 0.89%) โดยเงินเฟ้อที่ยังขยายตัวในแดนลบในเดือนสิงหาคมเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและสินค้าอื่นๆ ที่มีต้นทุนจากน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ขณะที่สินค้าทั่วไปส่วนใหญ่ราคาทรงตัว

          "เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ไม่ได้หมายความว่าเกิดภาวะเงินฝืด เพราะเงินไม่ได้ฝืด แต่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และหากราคาน้ำมันยังคงปรับลดลงไปอีกก็จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อขยายตัวในกรอบลบไปเรื่อยๆ โดยกระทรวงพาณิชย์จะทำการประเมินประมาณการเงินเฟ้อทั้งปีใหม่ จากเดิมตั้งไว้ที่ 0.6-1.3% ซึ่งเงินเฟ้อทั้งปีนี้อาจติดลบ หากติดลบจริงจะถือเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 ที่ติดลบ 0.9% จากรัฐมีโครงการลดค่าครองชีพให้ประชาชน เช่นโครงการรถเมล์ รถไฟฟรี และราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงนั้นก็ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ยที่ 61 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

          ผู้ว่าฯขานรับเฟ้นโครงการรองรับ

          มาตรการรัฐครั้งนี้พุ่งเป้าที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ ซึ่งต้องใช้กลไกมหาดไทยเป็นหลักในการทำงาน แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า มหาดไทยเตรียมเรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเร็วๆ นี้ เพื่อรับนโยบาย โดยเฉพาะมาตรการทำโครงการขนาดเล็กระดับตำบล เพื่อช่วยเศรษฐกิจในท้องถิ่น ทั้งนี้ผู้ว่าฯ สามารถเสนอแผนโครงการมายังกระทรวง ว่ามีโครงการอะไรที่ช่วยก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ได้ ซึ่งเป็นโครงการขนาดเล็กประมาณ 1 ล้านบาทต่อ 1 โครงการ  เช่น สาธารณูปโภค อาทิ ถนน ฝายกั้นน้ำ เขื่อน บ่อบาดาล ฯลฯ

          นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ทราบว่าจะมีการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อรับทราบนโยบายดังกล่าว ขอบเขตน่าจะเป็นรูปแบบกองทุนหมู่บ้านที่ให้ชาวบ้านกู้ไปประกอบอาชีพ ส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้นจะขอส่งเสริมผลิตภัณฑ์โอท็อป ที่ทำจากผลิตผลทางการเกษตรในพื้นที่ ที่โดดเด่น จะเป็นการแปรรูปมะพร้าวและสับปะรดส่งออกไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน คือ เมียนมา

          ด้านนายอดิศักดิ์  เทพอาสน์  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม  กล่าวว่า จังหวัดจะส่งเสริมอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่มีรายได้ระยะยาว โดยเน้นสินค้าโอท็อป ที่จะทำเป็นสินค้าแปรรูปถนอมอาหารที่สร้างชื่อเสียงให้กับนครพนม คือ ปลาแม่น้ำโขง ส่งออกไปยังสปป.ลาวและเวียดนาม นอกจากนี้จังหวัดมีแผนกระตุ้นการลงทุน คือ การแก้ปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วม ด้วยการสร้างฝาย หลุมขนมครก เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนและนำน้ำออกมาใช้ในช่วงหน้าแล้ง

          ส่วนนายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า จังหวัดเน้นส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่รวมกลุ่มประกอบอาชีพ อาทิ การเกษตร โอท็อป เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและพัฒนางานฝีมือเพิ่มมูลค่าส่งออกเป็นคาราวานสินค้าไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยเน้นวัตถุดิบจากต้นกกเพื่อทำจักสาน และซองกาแฟทำเป็นเสื่อ เป็นต้น ขณะเดียวกันจังหวัดต้องการให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ โดยแรงงานเกิดจากประชาชนในพื้นที่เอง เพื่อก่อสร้างสระน้ำ บ่อบาดาลใช้ช่วงหน้าแล้ง เพราะปัจจุบันสระแก้วไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่มีพื้นที่เกษตรกรรม 2.3 ล้านไร่ ต้องการใช้น้ำ 11 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่กรมชลประทานเก็บน้ำแจกจ่ายได้เพียง 4 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 3 - 5 ก.ย. 2558