เกร็ดน่ารู้ เรื่อง ค้าปลีกปรับรับพฤติกรรมออนไลน์
อ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป
ความนิยมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนจากการค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่จำหน่ายผ่านเคาน์เตอร์ ไปสู่การซื้อขายแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กลุ่มสินค้ามีการเคลื่อนไหวเร็วจำเป็นต้องตามติด
ทั้งนี้ คาดว่า 10% ของครัวเรือนไทยจะใช้ช่องทางช็อปปิ้งออนไลน์ในปี 2560 ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.3% จากปีที่ผ่านมา โดยความนิยมในรูปแบบของการค้าปลีกออนไลน์นี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการบริการออนไลน์ดีขึ้น
แม้ว่ายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในยอดขายโดยรวมของธุรกิจค้าปลีก แต่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดการณ์ว่าการเติบโตในระยะสั้นจะอยู่ที่ 15-20% ต่อปี เมื่อเทียบกับการเติบโตโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรรมค้าปลีกโดยรวมที่ 3-5% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ผู้ค้าปลีกจำนวนมากกำลังลงทุนอย่างเต็มที่ในด้านดิจิทัล และมองไปทางระยะยาว
ขณะที่กิจกรรมล่าสุดในกลุ่มร้านขายของชำออนไลน์ดูเหมือนว่าจะช่วยกระตุ้นเทรนด์ดังกล่าวนี้ โดย ปาสคาล บิลโลว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจค้าปลีกอาหารไทยได้รับการยกย่องว่ามีศักยภาพในการแข่งสูงมาโดยตลอด และแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยจะมีผู้ค้าขายทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อี-คอมเมิร์ซ) รายใหญ่ เช่น JD.com ซึ่งร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลและรายอื่นๆ เข้าสู่ตลาด
ด้านผลการสำรวจความคิดเห็นรายเดือนของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้กลับมาฟื้นตัวขึ้นในเดือน ส.ค. ซึ่งนับเป็นบรรยากาศที่น่าพอใจ โดยดัชนีได้ชี้ว่าความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 74.5 เพิ่มขึ้นจาก 73.9 ในเดือน ก.ค. แม้ว่าตัวเลขดัชนียังคงต่ำกว่าระดับที่เป็นบวก ตัวเลขของเดือน ส.ค.กลับเพิ่มขึ้นสวนกระแสหลังจากที่ลดลงเป็นเวลาสี่เดือน
ข้อมูลจากอินไซด์ รีเทล เอเชีย ระบุว่า แม้จะมีการเริ่มต้นที่ช้าสำหรับภาคธุรกิจส่วนนี้ ประกอบกับเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวในต้นปีนี้ การเติบโตของตลาดร้านขายของชำคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราการเติบโตประจำปีอยู่ 7% ในช่วงปี 2558-2563
ในส่วนของยอดขายอาหารทั้งหมดผ่านกลุ่มร้านค้าปลีกต่างๆ คาดว่าจะมีมูลค่าสูงสุดถึง 1.45 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นจาก 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2558
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560