เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการเกร็ดน่ารู้ » รายละเอียดเกร็ดน่ารู้

เกร็ดน่ารู้ เรื่อง วิธีจัดการกับ ข่าวปลอม โค้ดคอมพิวเตอร์กับมาตรการทางสังคม




          หลายคนอาจไม่เชื่อว่า ลำพัง "ข่าวปลอม" จะส่งอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้จริงๆ และก็คงไม่มีใครสามารถพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ว่า มีชาวอเมริกันที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์ เพราะเชื่อ "ข่าวปลอม" เป็นหลัก แต่อย่างน้อย สถิติก็บอกชัดว่า "ข่าวปลอม" เหล่านี้ มีอิทธิพลสูงมาก บทวิเคราะห์ของเว็บ Buzzfeed (https://www.buzzfeed.com/craigsilverman/viral-fake-electionnews-outperformed-real-news-onfacebook )เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ชี้ชัดว่าในบรรดาข่าวปลอมที่มียอด "การมีส่วนร่วม" (นับยอดแชร์ ยอดปฏิกิริยา (เช่น กดไลค์) และคอมเม้นท์ทั้งหมดของโพสนั้นๆ) ในเฟซบุ๊คสูงสุด 20 อันดับ มียอดการมีส่วนร่วมรวมกันถึง 8.7 ล้านครั้ง ในช่วงสามเดือนก่อนการเลือกตั้ง สูงกว่ายอด "ข่าวจริง" ของสำนักข่าวกระแสหลักที่มียอดการมีส่วนร่วมสูงสุด 20 อันดับ ซึ่งอยู่ที่ 7.3 ล้านครั้ง! ข่าวปลอมที่มียอดการมีส่วนร่วมสูงสุด 5 อันดับแรกล้วนแต่เป็นประโยชน์กับทรัมป์ เช่น ข่าว "โป๊ปฟรานซิสประกาศสนับสนุน

          ทรัมป์" (ยอดการมีส่วนร่วม 960,000 ครั้ง), "วิกิลีกส์ยืนยัน ฮิลลารีขายอาวุธให้กับ กลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิส" (ยอด 789,000) และ "อีเมลถึงไอซิสของฮิลลารีรั่ว! เลวร้าย เหนือจินตนาการ" (ยอด 754,000) ซึ่ง แน่นอนว่า ยิ่งยอดแชร์พุ่งทะยาน ยอดรายได้ จากโฆษณาก็ยิ่งทะลุเป้า ฉะนั้นสื่อปลอมที่ไม่สนใจจะทำข่าวจริงอยู่แล้วจึงมีแรงจูงใจ ทางเศรษฐกิจชัดเจนที่จะสร้างข่าวปลอม เยอะๆ โดยใช้พาดหัวตัวโตๆ เขียนข่าวที่ทำให้คนรู้สึกช็อกหรือสะใจกับเนื้อหา และก็เขียนได้ตามสบาย เพราะข่าวปลอมคือเรื่องโกหกอยู่แล้ว   ในเมื่อคนจำนวนมากมีแรงจูงใจชัดเจนที่จะทำข่าวปลอม โดยไม่สนใจเรื่อง ความถูกต้องหรือความเป็นมืออาชีพ และในเมื่อข่าวปลอมย่อมมีแนวโน้มที่จะ "โดนใจ" คนมากกว่าข่าวจริง (เพราะไม่ต้องสนใจข้อเท็จจริงอะไรเลย) ก็ไม่น่าแปลกใจที่ข่าวปลอมจะแพร่หลายอย่างรวดเร็วบน โซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ค ในเมื่อข่าวปลอมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แพร่หลายและส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิด หรือซ้ำเติมอคติของผู้ใช้เฟซบุ๊คเป็น แสนๆ คน คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งคำถาม ประณาม หรือเรียกร้องให้เฟซบุ๊คจัดการกับสถานการณ์นี้ คำถามที่ตามมาคือ วันนี้เฟซบุ๊คเองทำอะไร?

          หลังจากที่ยึกยักมาเป็นเดือน และ หลังจากที่ภายในบริษัทเกิดการอภิปรายโต้เถียง กันอย่างเข้มข้นเมื่อ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก  (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้ง ออกมายักไหล่พูดทำนองว่า "ฉันไม่แคร์" และอ้าง อย่างไม่รับผิดชอบว่า "เราเป็นบริษัทเทคโนโลยี ไม่ใช่บริษัทสื่อ" อดัม มอสเซรี (Adam Mosseri) ผู้รับผิดชอบนิวส์ฟีด (newsfeed  ฟีเจอร์แสดงข่าว) ของบริษัท ก็ออกมา

          ประกาศต่อสาธารณะกลางเดือนธันวาคม 2559 (ต้นฉบับ http://newsroom.fb.com/ news/2016/12/news-feed-fyi-addressing-hoaxes-and-fake-news/) ว่า เฟซบุ๊คได้ออกมาตรการมาแล้ว 4 อย่าง เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ได้แก่ 1. ปรับฟีเจอร์ให้ผู้ใช้รายงานข่าว ปลอมได้ง่ายขึ้น โดยถ้าคลิกที่มุมด้านขวา ของทุกโพสจะขึ้น "นี่เป็นข่าวปลอม" เป็น ทางเลือกในเมนูการรายงานเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม 2. ทำงานร่วมกับองค์กรที่มีชื่อเสียงในด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง เช่น

          Snopes.com, Factcheck.org และ Politifact เพื่อตรวจสอบว่าข่าวแต่ละชิ้น "จริง" หรือไม่ ถ้าหากองค์กรเหล่านี้ "ติดธง"  ว่าข่าวชิ้นนั้นมีปัญหา เฟซบุ๊คจะขึ้นคำว่า "มีปัญหา" (disputed) ให้เห็นในนิวส์ฟีด แสดงลิงก์ไปยังบทความอธิบายบนเว็บไซต์ขององค์กรที่เช็คข่าวชิ้นนั้นๆ และอัลกอริธึม  หรือโค้ดของเฟซบุ๊คจะ "ลดคะแนน" ข่าวชิ้นนั้นให้แสดงผลในนิวส์ฟีดต่ำกว่าข่าวชิ้นอื่นๆ แต่จะไม่ถึงกับลบข่าวชิ้นนั้นออกจาก เฟซบุ๊ค 3. ปรับโค้ดของเฟซบุ๊คในการจัดอันดับข่าวในนิวส์ฟีดใหม่ โดยใช้ข้อมูล

          จากชุมชนผู้ใช้เฟซบุ๊คเอง เช่น ถ้าข่าว ชิ้นไหนมีการแชร์น้อยมากหลังจากที่คนเข้าไปอ่าน ก็อาจเป็นสัญญาณว่ามันมีปัญหาอะไรบางอย่างหรือทำให้คนเข้าใจผิด เฟซบุ๊คจะปรับอันดับของข่าวทำนองนี้ ให้อยู่ต่ำกว่าปกติในนิวส์ฟีด 4. บั่นทอนแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ- เฟซบุ๊คพบว่าข่าวปลอมจำนวนมากมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจอยู่เบื้องหลัง ดังที่ บทวิเคราะห์ Buzzfeed สรุปข้างต้น  โดย "สแปมเมอร์" (spammer หมายถึงคนที่จงใจส่งเนื้อหาเดิมๆ ออกมาซ้ำๆ ถี่ๆ) แสร้งทำตัวเป็นสำนักข่าว โพสข่าวปลอม

          บนเฟซบุ๊คเพื่อล่อหลอกให้คนตามไปอ่านบนเว็บไซต์ของพวกเขา แล้วก็ทำเงินจากป้ายโฆษณาบนเว็บ  เฟซบุ๊คเริ่มจัดการกับปัญหานี้ด้วยการกำจัดความสามารถในการปลอมโดเมนเนม (spoof demain) เพื่อลดจำนวนเว็บไซต์ที่ "อำพราง" ว่าตัวเองเป็นสำนักข่าวจริง และปรับปรุงนโยบายขายพื้นที่โฆษณาว่า "ข่าวปลอม" จัดเป็น "เนื้อหาที่หลอกลวงและทำให้คนเข้าใจผิด" ซึ่งเฟซบุ๊คไม่รับโฆษณาให้ ทำให้สำนักข่าวปลอมที่อยากจ่ายเงินโฆษณาบนเฟซบุ๊คเพื่อ boost หรือเพิ่มการเข้าถึงข่าวตัวเองทำได้ยากขึ้น และเฟซบุ๊คก็ประกาศว่าจะติดตามตรวจสอบเนื้อหาต่างๆ ที่จะมาโฆษณามากขึ้น เฟซบุ๊คไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทเดียวที่พยายามจัดการกับ "ข่าวปลอม" หลังจากที่ถูกประณามจากคนจำนวนมาก ก่อนหน้านี้กูเกิลก็ประกาศว่า กำลังปรับปรุงนโยบายเพื่อห้ามไม่ให้เว็บข่าวปลอมทั้งหลายใช้ AdSense (แพล็ตฟอร์มขายโฆษณาของกูเกิล) ซึ่งจะช่วยตัดช่องทางทำเงินของนักปลอมข่าวทั้งหลาย ลดแรงจูงใจที่พวกเขาจะทำเว็บข่าวปลอมต่อไป ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นเป็นตัวอย่าง อันดีของการใช้ "โค้ดคอมพิวเตอร์" ประกอบกับ "มาตรการทางสังคม" มาจัดการกับ ปัญหาในโลกออนไลน์ที่ไม่ได้ถึงขั้นผิดกฎหมาย

          เรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะในสังคมที่คนจำนวนมากเข้าใจว่า "กฎหมาย" ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีสำหรับเรื่องทุกเรื่อง ในกรณีนี้ถ้าเป็นกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐในฐานะผู้บังคับใช้ก็จะมีอำนาจตัดสินเอาเองว่า เนื้อหาชิ้นไหนเป็น "ข่าวปลอม" แทนที่จะอาศัย "วิจารณญาณรวมหมู่" ของผู้ใช้เน็ต

          'ข่าวปลอมมีแนวโน้ม ที่จะโดนใจคน มากกว่าข่าวจริง ก็ไม่น่าแปลกใจที่ ข่าวปลอมแพร่หลาย อย่างรวดเร็ว บนโซเชียลมีเดีย ยอดนิยมอย่าง เฟซบุ๊ค'

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 19 ธ.ค. 2559