เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการเกร็ดน่ารู้ » รายละเอียดเกร็ดน่ารู้

เกร็ดน่ารู้ เรื่อง สวพ. 2 แนะเทคนิคการปลูกมันสำปะหลังเพื่อยกระดับผลผลิต




          ในขณะที่มีผลผลิตเฉลี่ยเพียง 3,864 ตันต่อไร่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกผลผลิตของมันสำปะหลังให้สูงขึ้นและลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีผลตอบแทนสูงขึ้น

นายวีรวัฒน์ นิลรัตนคุณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการผลิตพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 กรมวิชการเกษตร กล่าวว่า การปลูกมันสำปะหลังให้ได้ผลผลิตสูง มีปัจจัยอยู่หลายอย่างที่เกษตรกรควรทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นและลดต้นทุนได้ ประกอบด้วยฤดูปลูกการปรับปรุงดิน พันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ การใส่ปุ๋ย การยกร่อง ระยะปลูกที่เหมาะสม และการเก็บเกี่ยว โดยมีรายละเอียดดังนี้

          ฤดูปลูก ผลผลิตจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ต้นมันสำปะหลังได้รับน้ำฝน การปลูกมันสำปะหลังในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม จะให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เพราะมีระยะเวลาได้รับน้ำฝนนานกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการงอกของท่อนพันธุ์หากฝนทิ้งช่วง

          การปรับปรุงดิน หลักสำคัญในการปรับปรุงดินคือการเพิ่มปริมาณอินทรีวัตถุในดิน เพื่อให้ดินอุ้มน้ำได้ดีขึ้น และเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เริ่มตั้งแต่การไถกลบเศษซากต้นและเหง้ามันสำปะหลังลงดิน ใส่ปุ๋ยคอกหรือเปลือกมันสำปะหลังจากโรงงาน หรือปลูกปอเทืองแล้วไถกลบ

          การเตรียมดิน ควรเตรียมดินให้ลึก เพื่อให้สามารถกักเก็บความชื้นในดินได้มากขึ้น โดยการใช้ผาล 3 ไถดะ ในกรณีที่มีการปลูกมันสำปะหลังมานาน อาจเกิดชั้นดินดานเป็นแผ่นแข็งใต้รอยไถ ทำให้น้ำฝนไม่ไหลซึมลงสู่ดินชั้นล่าง และทำให้รากพืชตื้น ไม่แผ่ขยายหัวมันสำปะหลังมีขนาดเล็กให้ผลผลิตต่ำ หรือแม้กระทั่งเกิดน้ำไหลบ่าชะล้างหน้าดินเสียหาย ควรใช้ผาล2 หรือผาล 3 ไถดินให้ลึกเพื่อระเบิดดินดานเป็นระยะ

          พันธุ์มันสำปะหลัง ปัจจุบันมีพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร และพันธุ์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะนำอยู่หลายพันธุ์ เช่น พันธุ์ระยอง 5 ระยอง 7 ระยอง 9 ระยอง 11 ระยอง 13 ระยอง 72 เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 ห้วยบง 80 เป็นต้น แต่ละพันธุ์จะมีข้อดีเด่นต่างกัน เกษตรกรสามารถเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ โดยดูจากคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรหรือปลูกเปรียบเทียบพันธุ์ในแปลงของเกษตรกรเองโดยทั่วไปผลผลิตของแต่ละพันธุ์จะไม่ต่างกันมากนักแต่จะขึ้นอยู่กับการจัดการแปลงมากกว่า ในส่วนของปริมาณแป้งมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพันธุ์ บางพันธุ์ มีผลผลิตสูงแต่เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของโรงงาน การเลือกพันธุ์จึงควรพิจารณาเรื่องของปริมาณแป้งด้วย

          ระยะปลูก มันสำปะหลังเป็นพืชที่ไม่ชอบการปลูกระยะชิด หรือไม่ทนเบียด การใช้ระยะปลูกที่แคบเกินไป จะทำให้มันสำปะหลังแข่งกันเจริยเติบโตทางลำต้น หรือเรียกว่า “ขึ้นต้นหรือบ้าใบ้” โดยจะออกยอดและแตกใบไปเรื่อยๆ เพื่อแย่งกันรับแสง แต่จะไม่ลงหัว ทำให้หัวมันมีขนาดเล็ก ผลผลิตต่ำ ดังนั้นระยะปลูกที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยยึดหลักดินแลวปลูกถี่ ดินดีปลูกห่าง เช่น ในดินร่วนเหนียวซึ่งเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูงควรใช้ระยะปลูก 1x1 เมตร หรือ 1.2x0.8 เมตร ส่วนในดินทราบให้ใช้ระยะปลูกที่แคบลงตามความเหมาะสมกับพื้นที่โดยสามารถสังเกตจากการเจริญเติบโตทางลำต้นหากต้นมันสำปะหลังมีความสูงมากกว่า 3 เมตร แสดงว่ามีการเติบโตทางลำต้นมากเกินไป ในการปลูกครั้งต่อไปควรปรับระยะปลูกให้กว้างขึ้น

          ท่อนพันธุ์ ท่อนพันธุ์ที่สมบูรณ์มีการสะสมอาหารมากจะให้ผลผลิตสูง จึงควรใช้ท่อนพันธุ์ที่มีอายุ 8-12 เดือน ไส้ในมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าครึ่งของลำ ตัดท่อนพันธุ์ให้มีความยาว 25 ซม. เลือกใช้บริเวณกลางลำ เนื่องจากส่วนยอดซึ่งเป็นยอดอ่อนจะตายง่ายหากฝนทิ้งช่วงในขณะที่ส่วนโคนจะงอกช้าเพราะตาแก่ การเก็บรักษาท่อนพันธุ์มันสำปะหลังควรตั้งเป็นกระโขมและชะดินกลบโคน จะเก็บได้นานขึ้น

          นายวีรวัฒน์ กล่าวถึงการใช้ปุ๋ยว่า ถึงแม้มันสำปะหลังเป็นพืชที่ทนแล้ง และเจริญได้ในดินที่มีความอุดมสมบุรณ์ต่ำ แต่มันสำปะหลังก็ยังต้องการธาตุอาหารเพื่อเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี โดยต้องการธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมในอัตราส่วน 2:1:2 สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับมันสำปะหลัง คือ สูตร 15-7-18 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน หรือใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรโดยการผสมปุ๋ยใช้เอง โดยใช้แม่ปุ๋ยสูตร 46-0-0, 18-46-0 และ 0-0-60 มาผสมกันให้ได้ปริมาณธาตอาหารตามที่ต้องการ นอกจากจะทำให้เกษตรกรสามารถใส่ธาตุอาหารได้ตรงตามปริมาณที่พืชต้องการแล้ว การผสมปุ๋ยใช้เองยังช่วยให้ประหยัดค่าปุ๋ยลงได้อย่างน้อย 20-30% เมื่อเทียบกับการใช้ปุ๋ยสูตร ช่วยลดแรงงานค่าใส่ปุ๋ย และลดค่าขนมส่งได้อีกด้วย

          การยกร่อง ไม่ควรยกสันร่องให้ชันจนเกินไปเพราะน้ำฝนจะไหลบ่าไม่ซึมเข้าในสันร่อง แต่ควรยกร่องเป็นแบบหลงเต่า คือมีฐานร่องกว้าง เพราะการยกร่องแคบหัวมันจะไม่สามารถขยายออกด้านข้างได้ถ้าเป็นไปได้ควรยกร่อขวางทางเดินของน้ำ เพื่อให้น้ำได้ซึมลงใต้ดินและชอลอการไหลบ่าของน้ำ

          อย่างไรก็ตามการกำจัดวัชพืช ในระยะ 3 เดือนแรก เป็นช่วงวิกฤตของมันสำปะหลัง ควรดูแลให้ปลอดจากวัชพืช จนพุ่มใบมันสำปะหลังคุมร่องทั้งหมด ส่วนการเก็บเกี่ยว มันสำปะหลังมีอายุเก็บเกี่ยวถึง 20 เดือน โดยผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามอายุเก็บเกี่ยวและปริมาณน้ำในดิน ในเดือนมีนาคมมัสำปะหลังจะแตกใบอ่อนทำให้เปอร์เซ็นต์แป้งเริ่มลดลง และมีปริมาณแป้งต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นระยะแตกทรงพุ่มเต็มที่หลังจากนั้นปริมาณแป้งจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น.

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 20 กันยายน 2559