เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการเกร็ดน่ารู้ » รายละเอียดเกร็ดน่ารู้

เกร็ดน่ารู้ เรื่อง น้ำมันปลา บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจ




ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่สำคัญ 2 ชนิด คือ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก epa (eicosapentaenoic acid) และกรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก dha (docosahexaenoic acid)  ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น สำหรับกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 เป็นกรดไขมันที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีผลในการลดไขมันในเลือด พบมากในน้ำมันพืชหลายชนิด เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น แหล่งน้ำมันปลาในธรรมชาติที่ดีที่สุด คือ

          ปลาทะเล หอยนางรมแปซิฟิก และปลาหมึก ปลาทะเล ได้พบว่าปลาที่จับได้ในธรรมชาติจะมีปริมาณกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนปลาที่เลี้ยงในบ่อจะมีปริมาณของกรดโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ปัจจุบันน้ำมันปลาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในการรับประทาน อย่างแพร่หลาย ส่วนน้ำมันตับปลาที่เรารู้จักกันดี สกัดจากตับของปลาทะเล เช่น ปลาคอด แฮลิบัท เฮอร์ริ่ง มีสารสำคัญคือวิตามินเอ และวิตามินดี

          ความสำคัญของน้ำมันปลา

          กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกมีความจำเป็นต่อการพัฒนาของจอตาและสมองของทารก แต่ทารกไม่สามารถสังเคราะห์ DHA ได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยจากน้ำนมแม่ โดยทารกแรกเกิดควรได้รับ DHA ไม่ต่ำกว่าวันละ 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์สมองและเซลล์ประสาทซึ่งมีผลต่อ สติปัญญา หากร่างกายขาด DHA จะทำให้เซลล์สมองและเซลล์ประสาทขาดประสิทธิภาพไปด้วย เด็กในวัยนี้จึงควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของสมอง

          คนในวัยทำงานมักประสบความเครียดอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาด ในปริมาณที่เหมาะสม กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกจะผ่านเข้า ไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาท ของเซลล์สมอง ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองทำงานดีขึ้น หากรับประทานอาหารที่มีกรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สัดส่วนของ DHA ในสมองสูงขึ้น ความ เครียดจะลดลงและสมองทำงานได้ดียิ่งขึ้นการรับประทานน้ำมันปลา

          รับประทานเป็นอาหารเสริมเพื่อป้องกันโรคหัวใจ วันละ 1,000 มิลลิกรัม (1 แคปซูล) หลังอาหาร

          รับประทานเพื่อรักษาโรค วันละ 3 กรัม (3 แคปซูล) หรือมากกว่านั้นตามคำแนะนำของแพทย์ในน้ำมันปลามันมีอะไร ทำไมเป็นน้ำมันที่ดี

          น้ำมันปลามีส่วนประกอบคือ โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวจะพบแค่ในปลาบางชนิดเท่านั้น เช่น ปลาแมคเคอร์เรล ปลาแอนโชวี่ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น หรืออาจจะพบในผักหรือพืชบางชนิด และที่สำคัญคือร่างกายของคนเราสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

          โอเมก้า 3 คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

          โอเมก้า3เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งประกอบด้วย DHA และ EPA มีคุณสมบัติดังนี้

          1. ลดระดับ Triglycerides ในเลือด

          ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ไขมันไม่ดี ถ้าหากมีการสะสมมากก็อาจจะนำไปสู่การเกิดโรคได้ เช่น ระดับไขมันในเลือดสูง หรือโรคหลอดเลือดและหัวใจ เป็นต้น

          โดยการกินน้ำมันปลานั้นมีประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่เป็นโรคก็คือ กินเพื่อลดไขมันป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากไขมันในเลือดสูง

          2. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ

          เพราะว่าจะไปช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดและหัวใจซึ่งจากการหาข้อมูลพบว่า AHA/ACCF Secondary Prevention Guideline 2011 แนะนำให้คนที่เป็นโรคหัวใจขาด เลือด กินน้ำมันปลาแคปซูลเสริมให้ได้โอเมก้า 3 (DHA+EPA) ปริมาณ 1 กรัมต่อวัน

          3. กรดโดโคซาเฮ็กซีโนอิกหรือ DHA เป็นส่วนประกอบในเซลล์สมอง ประสาท และจอประสาทตา

          DHA จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยในการบำรุงสมองซึ่งการที่เราได้รับ DHA ปริมาณมากพอ จะช่วยให้ความคิดและการจดจำดีขึ้น

          4. EPA มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบต่างๆ ในร่างกาย

          เป็นองค์ประกอบสำคัญของสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเรียกว่า "พลอสตาแกลนดิน" ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด.

 

ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา วันที่ 15 มิถุนายน 2559 หน้า 18