เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการเกร็ดน่ารู้ » รายละเอียดเกร็ดน่ารู้

เกร็ดน่ารู้ เรื่อง คอลัมน์: สรรสาระ: เรื่องกล้วยๆ เพื่อหลีกหนีจาก 8 โรคร้าย




          1.โรคโลหิตจาง

          กล้วย เป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงมาก และธาตุเหล็กนี่แหละที่จะไปกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ช่วยให้คนที่เป็นโรคโลหิตจาง กลับมาแข็งแรงได้

          2.โรคความดันโลหิตสูง

          กล้วยได้ขึ้นชื่อว่ามีโพแทสเซียมสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ด้วยกัน สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ดีมาก ถึงขนาดที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้โฆษณาให้ประชาชนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหันมา กินกล้วยกันให้มากๆ

          3.โรคท้องผูก

          ในเนื้อกล้วยมีใยอาหารสูง เป็นตัวช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น

          4.โรคซึมเศร้า

          อาการของโรคซึมเศร้ามักเกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุลกัน แต่จากการวิจัยพบว่ากล้วยมีโปรตีน ไทรโพโตแฟน ที่จะช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ที่ทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลายออกมา จึงสามารถให้อารมณ์ดีขึ้น อาการซึมเศร้าก็ค่อยๆ หายไป

          5.อาการเมาค้าง

          การบรรเทาอาการเมาค้างที่ได้ผลที่สุดคือ กล้วยปั่น ผสมกับนม และน้ำผึ้ง เพราะคนเมาค้างกระเพาะจะปั่นป่วนกว่าปกติ กล้วยนี่แหละ ที่จะทำให้ กระเพาะเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนน้ำตาลจากน้ำผึ้งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ส่วนนมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายให้สมดุล คนที่มีอาการเมาค้างจึงมีอาการดีขึ้นได้

          6.โรคเสียดท้อง

          ในกล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่แล้ว หากคนที่มีอาการเสียดท้องเพราะมีกรดเกินในกระเพาะอาหาร เพียงแค่กินกล้วยในตอนเช้าวันละผล จะรู้สึกได้เลยว่าท้องไส้จะสงบลง ไม่ร้องครวญคราง หายเป็นปลิดทิ้งไปเลย

          7.โรคลำไส้เป็นแผล

          แม้แต่แพทย์ก็ยังแนะนำให้คนป่วยโรคลำไส้เป็นแผล หรือเป็นแผล ในกระเพาะอาหาร เพราะเนื้อที่นุ่มนิ่มของกล้วย ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และยังมีสรรพคุณช่วยเคลือบผนังลำไส้ ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ได้อีกด้วย

          8.เส้นเลือดฝอยแตก

          การกินกล้วยเป็นประจำ (ในตอนเช้าดีที่สุด) จะช่วยลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40% รู้แบบนี้แล้ว รีบหากล้วยมาทานกันเป็นประจำเลยนะจ๊ะ จะได้หลีกไกลจากโรคร้าย เพื่อชีวิตที่มีความสุขยิ่งขึ้น

          (www.topicza.com)

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง วันที่ 9 มิถุนายน 2559 หน้า 15