นายเกตโกมล ไพรทวีพงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนโยบายรัฐ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ตั้งเป้าหมายขยายพื้นที่การประกันภัยนาข้าวของเกษตรกรในปีการผลิต 2559/2560 เป็นพื้นที่ 3 ล้านไร่ หรือมีเกษตรกรเข้าร่วมประมาณ 2 แสนคน เพิ่มจากปี 2558 ที่มีผู้ทำประกันภัยประมาณ 9.2 หมื่นราย คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 1.5 ล้านไร่ ซึ่งคาดว่าโครงการประกันนาข้าวจะสามารถหาข้อสรุปเรื่องรูปแบบ ทั้งเบี้ยประกันภัยและสินไหม เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาภายในเดือน เม.ย.นี้ หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเปิดรับประกันภัยในช่วงปลูกข้าวนาปีจากเกษตรกรทั่วประเทศในเดือน พ.ค. 2559 เป็นต้นไป
ในเบื้องต้นการคุ้มครองภัยยังคงไว้ 7 ประเภท คือ น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ฝนทิ้งช่วง ภัยแล้ง ลมพายุหรือไต้ฝุ่น อากาศหนาว ลูกเห็บ ไฟไหม้ ศัตรูพืชและโรคระบาด ส่วนค่าเบี้ยประกันภัย คาดว่าจะยังคงที่อัตราเดิม ซึ่งแบ่งเป็น 5 พื้นที่ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำมากที่สุด เสี่ยงต่ำมาก เสี่ยงต่ำ เสี่ยง ปานกลาง และเสี่ยงสูง โดยจัดเก็บเบี้ยในอัตราที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 124-483 บาท ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 60-100 บาท/ไร่ และรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลือ 64-383 บาท/ไร่
สำหรับเรื่องสินไหมยังอยู่ระหว่างการหารือ เพราะทางการต้องการให้มีการจ่ายค่าสินไหมเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกร จากที่ผ่านมาความเสียหายจากน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ เกษตรกรจะได้รับความคุ้มครอง 1,111 บาท/ไร่ ส่วนกรณีเสียหายจากศัตรูพืชหรือโรคระบาด จะได้รับความคุ้มครอง 555 บาท/ไร่
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เรื่องค่าสินไหมเป็นประเด็นที่ต้องหารือกันอยู่ เพราะค่าเบี้ยยังแพงเมื่อเทียบค่าสินไหม เช่น กรณีที่ต้องจ่ายเบี้ย 483 บาท/ไร่ ซึ่งเกษตรกรต้องจ่ายเอง 100 บาท และรัฐต้องจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ย 383 บาท นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องเกษตรกรได้รับความเสียหายจากภัยแล้ง แต่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ประกาศเป็นเขตภัยแล้ง ครม.จะช่วยเหลืออย่างไรด้วย
ที่มาจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 18 มีนาคม 2559 หน้า A14
eclipping_20142212170311_1.doc: ขนาด 31.5 KB