เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการ E-clipping » รายละเอียด E-clipping
ดอกเบี้ยไทยไม่ตามเฟด นายแบงก์ฟันธงขยับขึ้นปลายปีหน้า

          สำหรับภาวะเศรษฐกิจนั้น ทั้งการค้า การลงทุน ยังเร็วไปที่จะประเมินผล กระทบ แต่ตลาดเงินและตลาดทุนอ่อนไหวและออกอาการตอบรับที่เร็วกว่า สำหรับผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยของโลกและของไทยนั้น ตลาดมองว่าโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด โดยรอบแรกจะได้เห็นกันในเดือน ธ.ค.นี้

          นอกจากนี้ ตลาดยังคาดว่า เจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด อาจจะลาออก เพราะไม่อาจทำงานกับทรัมป์ได้ หลังจากที่ได้ถูกทรัมป์โจมตีว่าเฟดได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ เพราะหวังให้ตลาดหุ้นพุ่ง โดยมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง

          อย่างไรก็ดี ผลสำรวจความคิดเห็นของเทรดเดอร์ในตลาดการเงินระบุว่า โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ลดลงสู่ระดับต่ากว่า 50% จากช่วงก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ 82% หลังจากมีรายงานว่า ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

          ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่าผลเลือกตั้งจะกระทบให้ตลาดเงินผันผวนพอสมควร และเป็นห่วงภาคเอกชนที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับความผันผวน ทั้งเงินทุนเคลื่อนย้าย และอัตราแลกเปลี่ยน

          ทั้งนี้ กนง.ยังไม่ได้มีการพิจารณาถึงการที่เฟดมีการคาดการณ์เรื่องดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะมีการหารือในการประชุมครั้งหน้า

          ด้าน อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง และเมื่อทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี นโยบายเศรษฐกิจจะเร่งการเติบโตในระยะสั้นอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยปลายปีหน้าขยับสูง 2 ครั้งไปอยู่ที่ระดับ 1-1.25%

          อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยของไทย มองว่า จะคงที่ระดับ 1.50% ไปจนถึงปลายปีหน้า ยังไม่น่าจะขยับขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแต่ก็เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การลงทุนภาคเอกชนยังอ่อนแอ และการส่งออกมีแนวโน้มหดตัว ยังต้องอาศัยดอกเบี้ยผ่อนคลายและค่าเงินอ่อนค่ามา สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมีช่องว่างในการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยได้

          บุญทักษ์ หวังเจริญ กรรมการ ผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยในปีหน้ามีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ในปลายปีหน้า เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะต้องให้สินเชื่อของระบบธนาคารขยายตัวก่อนดอกเบี้ยเงินฝากถึงจะขยับตาม ส่วนสภาพคล่องจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความกลัวของนักลงทุนว่าจะมีมากน้อยอย่างไร

          ด้าน สุรศักดิ์ ธรรมโม นักกลยุทธ์การลงทุน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ระบุว่า สถาบันวิจัยบรูกกิงส์ของสหรัฐ ประเมินว่า ถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ อังกฤษ และเอเชียปรับลง 10-15%

          นอกจากนี้ ปิยะ ซอโสตถิกุล ที่ปรึกษา ธนาคารกรุงเทพ มองผล กระทบที่จะเกิดขึ้นในไทยไม่มากนัก โดยเชื่อว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นเล็กน้อย เพราะเงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนลงเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงิน และในระยะกลางค่าเงินบาทในระยะปานกลางจะยังไม่อ่อนตัวลงเพราะเฟดจะรอดูสถานการณ์ก่อนจึงจะพิจารณาว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่

          ทั้งนี้ ทรัพย์สินปลอดภัยประเภทต่างๆ จะมีราคาสูงขึ้น เช่น พันธบัตรรัฐบาลประเทศที่พัฒนาแล้ว ทองคำ และโลหะมีค่าต่างๆ ในขณะนี้ทรัพย์สินเสี่ยงจะมีมูลค่าลดลงระยะสั้น

          สำหรับตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์เล็กน้อยคล้ายกับตอนเบร็กซิต ที่สหราชอาณาจักรทำประชามติออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นสหราชอาณาจักรกระจายไปประเทศอื่น

 

          บรรยายใต้ภาพ

          เยลเลน

          ทรัมป์

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 10 พ.ย. 2559



เอกสารที่เกี่ยวข้อง