เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการ E-clipping » รายละเอียด E-clipping
พัฒนาเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

          ล่าสุด รัฐบาลได้มีการตั้งเป้าเพื่อเดินหน้า ผลักดันการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) และมีการมองแนวทางปรับปรุงนโยบายทางการเงิน อาทิ ด้านภาคบริการทางการเงิน ให้สอดรับและเตรียมรับการเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่

          แต่ที่สำคัญ เราไม่ควรลืมการพัฒนา และสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตรและเกษตรกรไทยให้ปรับตัวและสามารถใช้ ประโยชน์จากเศรษฐกิจแบบ knowledge- based และ digital economy ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน

          เพราะภาคการเกษตร (ซึ่งรวมถึงปศุสัตว์ การประมง และเพาะปลูก) เป็นเสมือนกระดูกสันของชาติ ที่ต้องสร้างให้เข้มแข็ง และจะเป็นหลักในการผลักดันการฟื้นฟูและเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยแบบยั่งยืนและไม่กระจุกตัว (เฉพาะที่ศูนย์กลาง) และภาคเกษตรเข้มแข็ง จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจชนบทและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งมองว่าเป็นปัญหาโครงการสังคมไทยในปัจจุบัน การพัฒนาเกษตรยุคใหม่ให้ก้าวผ่านความท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์และใช้ประโยชน์จากยุค digital economy ได้อย่างไร ขอวิเคราะห์มาให้อ่านกันในลักษณะ เปรียบเทียบกับประสบการณ์ของยุโรป

          ภาคการเกษตรต้องเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่ระดับ รากหญ้าให้ได้

          คิดว่า ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนศักยภาพในการทำวิจัยหรือคิดค้นวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านการเกษตร แต่ปัญหาดูเหมือนจะเป็นการนำเทคโนโลยีที่คิดค้นแล้วเหล่านั้นมา commercialize หรือสร้างมูลค่าทางการค้า เพื่อให้กลายเป็นผลผลิตในเชิงพาณิชย์ก็คือ สินค้าเกษตรใหม่ที่ขายได้ดี ติดตลาด ส่งออก ทำเงินและสร้างงานให้เกษตรกรในระดับ รากหญ้า นอกจากนั้น ยังมีเรื่องการพัฒนา เทคโนโลยีด้านการเกษตรเพื่อที่จะช่วยให้ เกษตรกรทำงานง่ายขึ้น และพัฒนาผลผลิต ให้คุ้มทุนมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีมาพัฒนา ผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเกษตร และอาหารด้วย ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยีและ นวัตกรรมต้องใช้เงินลงทุนและการลงทุนสูง เพื่อหวังผลในระยะยาว ภาครัฐจึงต้องเข้ามา มีบทบาทในการสนับสนุนเรื่องนี้

          การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรผ่านเครื่องมือสารสนเทศน์ใหม่ๆ และตลาดดิจิทัล น่ายินดีที่เห็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พัฒนาการให้ข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้ไปมากแล้ว ที่น่าจะมีการพัฒนาต่อไป อาจเป็นการมีตลาดดิจิทัลหรือการซื้อขายออนไลน์ ที่สามารถเช็คราคาและซื้อขาย พืชผลทางการเกษตรแบบออนไลน์ได้

          แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ต้องเน้นย้ำ สิ่งที่ไทยยังขาดเรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร คิดว่าประเทศไทยต้องเร่งปรับปรุงเรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารไม่ให้เป็นแบบ "สองมาตรฐาน" เหมือนที่เป็นอยู่ กล่าวคือ สินค้าเกษตรและอาหารที่ขายในประเทศก็มาตรฐานหนึ่ง และที่ส่งออกกลับได้รับการควบคุมและมีมาตรฐานที่สูงกว่า หากยังเป็นเช่นนี้

          การพัฒนาภาคเกษตรก็จะขยับตัวไปแบบไม่เท่าเทียม การพาภาคเกษตรไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล ต้องการเกษตรกรรุ่นใหม่ ดังนั้น ปัญหา ทัศนคติเกี่ยวกับการเป็น "เกษตรกร"  ก็สำคัญ ที่ศึกษาดูเห็นว่าภาคเกษตรมีปัญหา การขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรมานาน และคนรุ่นใหม่เลิกอาชีพทำการเกษตร เพราะทัศนคติของคนรุ่นใหม่มองว่า อาชีพเกษตรกรเป็นงานหนัก รายได้ ไม่แน่นอน จึงไม่มีแรงดึงดูดให้ประกอบ อาชีพเกษตรกร

          อยากให้มองภาคการเกษตรในยุโรปเป็นตัวอย่าง เกษตรกรในยุโรปเป็นอาชีพ ที่รวย มีที่ดิน มีรายได้สูง และใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในระบบการผลิต ที่สำคัญ สินค้าเกษตรในยุโรปได้มาตรฐานไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารสิ่งแวดล้อม หรือแรงงาน และผู้บริโภคก็พร้อมจะซื้อในราคาที่สูงขึ้น ที่น่าสนใจคือ ในยุโรป เวลาเราซื้อสินค้าและผลิตผลทาง การเกษตรจากตลาด ที่เป็น "สินค้าพื้นบ้าน" ที่ปลูกและผลิตเองในภูมิภาคหรือหมู่บ้านนั้นๆ มีราคาแพงกว่าการซื้อสินค้าเกษตรและอาหารในห้างสรรพสินค้า ซึ่งส่วนมาก เป็นสินค้าเกษตรนำเข้าจากประเทศที่สาม เสียด้วยซ้ำ  ยุคดิจิทัลเป็นยุคที่เราต้องไม่ปล่อยให้ เกษตรกร และการทำเกษตรกรรมกลายเป็น เรื่องล้าหลังหรือตกยุค แต่ภาคเกษตร ต้องเร่งการปรับตัวและตอบรับเข้าสู่ การเกษตรยุคใหม่ให้ได้ โดยเฉพาะ ในระดับรากหญ้า ในขณะที่ภาคธุรกิจ ใหญ่ๆ และภาคอุตสาหกรรมการเกษตร น่าจะปรับตัวได้ง่ายและรวดเร็วกว่า แต่ภาค การเกษตรชนบทคงยังต้องพึ่งภาครัฐในการ พัฒนาให้ก้าวทัน และก้าวไปพร้อมๆ กัน ไม่เช่นนั้นช่องว่างในการพัฒนาและ ความเหลื่อมล้ำก็จะยิ่งมากขึ้น ต้องถือว่าประเทศไทยโชคดีที่ "ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" เพราะมีภาคการเกษตรเป็นฐานการผลิตอาหารและด้านพลังงานทดแทนให้กับประเทศ แต่อย่านิ่งนอนใจ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป  ภาคการเกษตรต้องได้รับการพัฒนา และปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ ได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน

          ภาคการเกษตรของไทยแม้มีสัดส่วนมูลค่าเพียงร้อยละ 8.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) (ที่เหลือเป็นภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ) และ มีแนวโน้มลดลง แต่การทำเกษตรกรรมเป็นบ่อนำเลี้ยงชีวิตของเกษตรกรกว่า 16.7 ล้านคน หรือประมาณ 25.9 % ของประชากรทั้งประเทศ

          แต่ผลสำรวจสถานการณ์ชาวนาไทย ปี 2555 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังพบว่า เกษตรกรทานากว่าร้อยละ 80.5 ไม่อยากให้ลูกหลานทำนาเช่นเดียวกับตน และผลสำรวจข้อมูลของคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี 2555 พบว่า จำนวนนักเรียนที่เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร มีจำนวนลดลงประมาณร้อยละ 5-8 ต่อปี และในการเลือกอันดับในการศึกษาต่อ ส่วนใหญ่เลือกคณะเกษตรอยู่ในอันดับ 3 หรืออันดับ 4 ชี้ให้เห็นว่าเด็กไทยไม่ได้ สนใจที่จะเรียนด้านการเกษตร แม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาด้านการเกษตร ส่วนใหญ่ยังคงเลือกทำงานเป็นลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรมากกว่าที่จะมาทำอาชีพ การเกษตรโดยตรง ข้อมูลจาก บทความ "แรงงานกับการเปลี่ยนแปลงของภาคการเกษตรไทย" โดยนายกรวิทย์ ตันศรี เศรษฐกรอาวุโส ส่วนเศรษฐกิจภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

          'ยุคดิจิทัล เป็นยุคที่ เราต้อง ไม่ปล่อยให้ เกษตรกร และการทำเกษตรกรรมกลายเป็น เรื่องล้าหลัง'

          คนรุ่นใหม่เลิกอาชีพทำการเกษตร เพราะทัศนคติของคนรุ่นใหม่มองว่า อาชีพเกษตรกรเป็นงานหนัก รายได้ไม่แน่นอน

          ดร.อาจารี ถาวรมาศ เป็นผู้บริหาร บริษัท Access-Europe บริษัท ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และนโยบายเกี่ยวกับสหภาพยุโรปสำหรับภาครัฐ และเอกชนไทยที่สนใจเปิดตลาดยุโรป  www.access-europe.eu <http://www.access-europe.eu> หรือติดตามได้ที่  www.facebook.com/ AccessEuropeCoLtd <http:// www.facebook.com/Access EuropeCoLtd>

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 3 ตุลาคม 2559