เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการ E-clipping » รายละเอียด E-clipping
เข้าใจ ม.44 กรณีจำนำข้าว อย่างง่ายๆ

          จึงเกิดคำถามและข้อถกเถียงตามมาอย่างกว้างขวาง ผมจึงขอทำความเข้าใจโดยพยายามยกตัวบทให้น้อยที่สุดและเขียน ให้กระชับที่สุด เพื่อให้เข้าใจง่ายและเหตุแห่งข้อจำกัดในเนื้อที่ของบทความที่จะ ตีพิมพ์ ดังนี้

          1) ทำไมถึงให้กรมบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการ เนื่องเพราะปกติแล้วหน่วยงานที่ออกคำสั่งใช้มาตรการบังคับทางปกครองจะต้องเป็นผู้ดำเนินการเอง แต่หน่วยงานทั้งหลายไม่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ ในกรณีที่มีทุนทรัพย์จำนวนมากเช่นนี้ ครั้นจะให้กรมบังคับคดีเข้ามาทำแทนก็ไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะตามกฎหมายแล้ว กรมบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่บังคับคดีตาม คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลยุติธรรมเท่านั้น ส่วนการบังคับคดีตามคำสั่งหรือ คำพิพากษาของศาลปกครองนั้นมีหน่วยงานเฉพาะคือสำนักบังคับคดีปกครองเป็นของ ตนเองไม่ใช้บริการของกรมบังคับคดีแต่อย่างใด ที่สำคัญคือการใช้มาตรการบังคับทางปกครองของหน่วยงานฯ ต่างๆ นั้นเป็นการบังคับที่ยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล แต่อย่างใด ฉะนั้น คสช.จึงต้องคำสั่งฯ ให้กรมบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่เพิ่มขึ้นมา

          2) ทำไมไม่ฟ้องศาลเรียกค่าเสียหาย รัฐมนตรีมาออกคำสั่งทางปกครองเองทำไมและทำไมไม่รอผลคดีอาญาก่อน การนำคดีไปศาลปกครองเพื่อให้ศาลมีมาตรการบังคับทางปกครองซึ่งกรณีนี้คือการออกคำสั่งทางปกครองให้ใช้เงิน ตามมาตร 57 ของพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 กำหนดให้เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการ ยึดอายัดทรัพย์สินของผู้นั้นเพื่อขายทอดตลาด เพื่อชำระเงินให้ครบถ้วนซึ่งก็หมายความว่าเจ้าหน้าที่ต้องยึดอายัดก่อน ถ้าไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุจำเป็นใดๆก็ตามจึงจะสามารถนำคดีไปฟ้องศาลปกครองได้  ซึ่งหากนำไปฟ้องศาลปกครองโดยยังไม่ได้ดำเนินการบังคับเองเสียก่อน ศาลก็จะ สั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาอนึ่ง การดำเนิน การทางปกครองนั้นไม่ต้องรอผลทางคดี อาญา ที่สำคัญตามมาตรา 10 วรรคสองของพ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 กำหนดให้สิทธิ เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่มีอายุความเพียง 2 ปี เท่านั้น

          3) ทำไมเรียกค่าเสียหายไม่เท่ากัน ตามมาตรา 8 ของพ.ร.บ.ว่าด้วย ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 วรรคสี่ กำหนดว่าในกรณีที่การละเมิดเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นำ หลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่ แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น ส่วนจะเป็นธรรมหรือไม่ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องไปฟ้องโต้แย้ง คำสั่งต่อศาลปกครองน่ะครับ

          4) ต้องอุทธรณ์ก่อนนำคดีไปศาลปกครองหรือไม่

          ตามมาตรา 44 ของพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ กำหนดไว้ว่าภายใต้บังคับมาตรา48 (คำสั่งของคณะกรรมการฯ) ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะให้คู่กรณีอุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งนั้น ฯลฯ ซึ่งก็หมายความว่าคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยรัฐมนตรีนั้นไม่ต้อง อุทธรณ์ก่อนนำคดีไปสู่ศาลปกครองเพราะรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายปกครอง (กระทรวง ทบวง กรมฯ) นั้นๆ แล้วและไม่มีผู้บังคับบัญชาที่สูงกว่านั้นที่จะ พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ได้อีก ส่วนนายก- รัฐมนตรีก็คือรัฐมนตรีคนหนึ่งแต่มีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลเท่านั้นเอง (primus inter pares หรือ first among equals )

          5) ม.44 คุ้มครองเจ้าหน้าที่โดยไม่ต้อง รับผิดเลยหรือไม่ คุ้มครองเฉพาะที่ดำเนินการโดยสุจริตเท่านั้น หากดำเนินการโดยไม่สุจริตไม่สามารถคุ้มครองได้

          6) ฟ้องกลับได้หรือไม่ได้อยู่แล้ว หากเห็นว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือหากศาลปกครองมี คำพิพากษาให้ผู้ที่ถูกเรียกค่าเสียหายชนะคดี โดยอาจจะฟ้องเป็นคดีปกครองข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ของพ.ร.บ.จัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีศาลปกครอง พ.ศ.2542 ต่อศาลปกครอง (ม.44 คุ้มครองเฉพาะคดีแพ่ง อาญาและวินัย แต่ไม่ คุ้มครองคดีปกครอง) หรืออาจจะฟ้องต่อศาลยุติธรรมตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาหากเห็นว่าตนเองถูกจงใจ กลั่นแกล้งโดยทุจริต (ม.44 คุ้มครองเฉพาะกรณีสุจริต แต่ไม่คุ้มครองกรณีทุจริต)

          7) มอบอำนาจให้ผู้อื่นเซ็นแทนแล้วเจ้าตัวต้องรับผิดชอบหรือไม่ ในหลักการมอบอำนาจให้เซ็นแทนหรือปฏิบัติราชการแทนนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้โดยทำเป็นหนังสือและเมื่อได้รับมอบอำนาจแล้ว ผู้มอบอำนาจมีหน้าที่กำกับติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจและให้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบ อำนาจได้ ซึ่งก็แสดงว่าผู้มอบอำนาจก็ยังไม่พ้น ความรับผิดชอบอยู่ดีนั่นเอง ดีไม่ดีอาจจะถูกข้อหาละเลยหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หากเกิดความเสียหายขึ้น

          คิดว่าคงสร้างความกระจ่างขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ อาจจะมีผู้ที่เห็นต่างบ้างซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเพราะความเห็นทางกฎหมายนั้นเห็นต่างกันได้ สุดท้าย ก็ต้องไปจบที่องค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด คือองค์กรตุลาการนั่นเอง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 กันยายน 2559