เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการ E-clipping » รายละเอียด E-clipping
วิกฤตแล้งหนักมาก!ในรอบ2ทศวรรษแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนโจทย์ที่ต้องเร่งขับเคลื่อน

          ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปริมาณฝนที่ตกน้อยลงกว่าปกติและยังทำให้ร่องมรสุมที่พัดผ่านเคลื่อนที่จากเดิมออกไปด้วยซึ่งหมายถึงส่งผลโดยตรงให้ปริมาณน้ำในเขื่อนที่ลดลงจากฝนที่ตกน้อยแล้ว ฝนยังตกบริเวณท้ายเขื่อนทำให้น้ำไม่ไหลลงเขื่อนอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2557 ทำให้น้ำต้นทุนที่สะสมไว้ในเขื่อนอยู่ในเกณฑ์ต่ำจนส่งผลให้รัฐบาลต้องขอให้ชาวนางดทำนาปรัง

          ผลจากปัญหาภัยแล้งดังกล่าวกระทบต่อปริมาณผลผลิตพืช 4 ชนิดซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทยได้แก่ 1. ข้าว 2. อ้อย 3. มันสำปะหลัง และ4.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยพืชหลักนี้ไม่เพียงแต่จะป้อนในประเทศหากแต่ยังเป็นพืชส่งออกที่สำคัญ ขณะที่ราคาส่งออกก็เกิดปัญหาราคาตกต่ำจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้เกษตรกรไทยเจอ 2 เด้งคือทั้งปริมาณลด ราคาก็ยังลดลงโดยคาดว่าเกษตรกรที่ปลูกพืชทั้ง 4 ชนิดที่มีอยู่ประมาณ 4 ล้านครอบครัวพื้นที่เพาะปลูก 100 ล้านไร่จะมีรายได้ลดลง 40-50% จากปีก่อน

          ทั้งนี้ พืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด ได้แก่ 1. ข้าวจะพบว่าข้าวนาปรังซึ่งเฉลี่ยปีนี้จะมีผลผลิตปีละ 10 ล้านตันจากภาวะภัยแล้งจะเหลือไม่ถึง 5 ล้านตัน ขณะที่ราคาตลาดโลกก็ยังคงไม่ขยับเพิ่มขึ้น แถมไทยยังเจอปัญหาสต๊อกข้าวเก่าทำให้ภาพรวมราคาข้าวยังคงตกต่ำต่อเนื่อง 2.มันสำปะหลังทั้งผลผลิตต่อไร่ต่ำแล้วยังเจอภาวะราคาต่ำสุดรอบ 10 ปีซึ่งขณะนี้หัวมันสดเฉลี่ยอยู่ที่ 1.70-1.80บาทต่อกิโลกรัม(กก.)เท่านั้นการส่งออกคงไม่ต้องพูดถึงเพราะไทยยอมนำเข้ามาจากเพื่อนบ้านได้อีก

          3. อ้อยฤดูการผลิตปี 58/59 เจอทั้งผลผลิตต่อไร่ตกต่ำและราคาต่ำเช่นกันโดยผลผลิตคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 95-96 ล้านตัน โดยเบื้องต้นคาดกันว่าปริมาณน้ำตาลอาจจะหายไปถึงระดับ 1 ล้านตันคิดเป็นเงินที่เสียโอกาสสำหรับการส่งออกก็อยู่ราวหมื่นกว่าล้านบาท  ขณะที่ราคาอ้อยก็ประกาศแล้วที่ 808 บาทต่อตันโดยเฉลี่ย 4. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตลดต่ำเช่นกันส่วนราคาเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 8 บาทต่อกก. ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากพืชเศรษฐกิจหลักแล้วคงไม่สามารถจะเป็นความหวังในการส่งออกให้กับเกษตรกรได้เลย

          อย่างไรก็ตามหากมององค์รวมของผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยจากผลการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจากการสอบถามของกลุ่มตัวอย่างในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางมีมุมมองเชิงลบสูงกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากผูกพันกับข้าวและยางพารา สถานการณ์แล้งจึงอาจเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยศูนย์พยากรณ์ประเมินว่า ผลกระทบจากภัยแล้งอาจจะทำให้เงินระบบหายไปประมาณ 70,000 ล้านบาท -100,000 ล้านบาท

          สอดรับกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม ที่จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ที่ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่น ก.พ. 59 ก็ลดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งปัจจัยหนึ่งก็มาจากปัญหาภัยแล้งที่ผู้ผลิตต่างก็กังวลว่าจะกระทบต่อแรงซื้อของคนไทยโดยเฉพาะเกษตรกร อย่างไรก็ตามภาคเอกชนโดยเฉพาะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต่างคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐที่ทยอยออกมาจะทำให้แรงซื้อของประชาชนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะขยับขึ้น

          หันมาดูการบริหารจัดการน้ำระยะสั้นของรัฐซึ่งทางกรมชลประทาน จะเฝ้าติดตามการระบายน้ำในน้ำลุ่มเจ้าพระยา  เขื่อนหลักได้แก่ ภูมิพล สิริกิติ์ ป่าสักชลสิทธิ์ และแควน้อยบำรุงแดน อย่างใกล้ชิดและได้ยืนยันว่าจะสามารถควบคุมน้ำเพื่อการบริโภคและอุปโภคได้จนถึงเดือนกรกฎาคมนี้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันยังมีการติดตามการปลูกข้าวเพื่อป้องกันการเพิ่มพื้นที่ปลูกโดยพยายามทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้มากขึ้นและเฝ้าระวัง 28 จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ภาคเหนือตอนบน และนอกเขตชลประทาน อาทิ กำแพงเพชร กาญจนบุรี กรุงเทพฯ จันทบุรี ชัยภูมิ เชียงราย นครนายก ชัยนาท นครราชสีมา มุกดาหาร อุทัยธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งใกล้ชิด

          ขณะเดียวกันที่ผ่านมารัฐก็เร่งทำฝนหลวงเพื่อลดความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร และช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้รัฐก็ขอความร่วมมือประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัดโดยขอให้ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นน้ำ และลดวันเล่นสงกรานต์ลงโดยล่าสุดหลายจังหวัดได้ประกาศวันเล่นน้ำสงกรานต์แล้วซึ่งส่วนใหญ่ลดระยะเวลาการสาดน้ำลงเพื่อช่วยกันลดการใช้น้ำตามนโยบายรัฐบาล  นอกจากนี้ล่าสุดยังมีการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาเติมเพื่อลดภาวะภัยแล้งยังภาคอีสาน ฯลฯ

          อย่างไรก็ตามไม่อาจปฏิเสธได้ว่าระยะเกือบ 2 ปีของการดำเนินงานรัฐบาลยังไม่เห็นความชัดเจนเรื่องของแผนบริหารจัดการน้ำระยะยาวมากนักหากเทียบกับโครงการรถไฟฟ้า แต่จากปัญหาภัยแล้งที่หนักขึ้นทำให้ระยะหลังเริ่มเห็นแนวทางออกมา  ไม่ว่าจะเป็นการตั้งสถานีสูบน้ำแม่น้ำโขงถาวรที่บ้านแดนเมือง ต.วัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดอัตราสูบ 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จำนวน 10 เครื่องทำการสูบน้ำโขงเข้ามากักเก็บไว้ใช้ในหน้าแล้ง และสามารถระบายน้ำจากลำห้วยหลวงลงสู่แม่น้ำโขงในฤดูน้ำหลาก ใช้งบประมาณ 2,580 ล้านบาท ซึ่งจะเสร็จในปี 2560

          นอกจากนี้ยังมอบให้กรมชลประทานศึกษาดึงน้ำจากแม่น้ำสาละวิน เมียนมา และอื่นๆมาเติมที่เขื่อนภูมิพลซึ่งคาดว่าจะศึกษาเสร็จในปี 2560 ขณะเดียวกันนี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการน้ำที่มีพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานได้รวบรวมงบประมาณที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับไปใช้เกี่ยวกับน้ำ แต่ที่ผ่านมาใช้อย่างไม่เป็นระบบ จึงนำกลับมาทำอย่างบูรณาการปี 2558/2559 รวบรวมงบประมาณได้กว่า 50,000 ล้านบาท และกำหนดยุทธศาสตร์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง เช่น การทำประปาหมู่บ้าน 7,490 หมู่บ้านให้ครบถ้วนภายในปี 2560

          การเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้อีก 10 ล้านไร่ ส่วนนอกเขตชลประทานจะสนับสนุนการขุด ขยายแหล่งน้ำในชุมชนเพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ ทำแก้มลิง ซึ่งจะแก้ปัญหาได้ทั้งน้ำแล้งและน้ำท่วม  ส่วนปัญหาอุทกภัยมีแผนยุทธศาสตร์ ที่จะเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำทั้งคูคลองธรรมชาติและคลองชลประทาน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการดูแลป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมีป่าช่วยซับน้ำไม่ให้เกิดน้ำท่วม แผนระยะยาวที่ได้วางไว้ถึงปี 2569

          ภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญคาดการณ์กันว่าเริ่มหมดไปในช่วงตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไปและปรากฏการณ์ลานีญาจะกลับมาซึ่งแน่นอนว่า ภาวการณ์ เช่นนี้ก็จะเป็นทุกๆ 3-4 ปี ปัญหาภัยแล้ง และปัญหา น้ำท่วมก็จะสลับให้เห็น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมีการลงทุนระบบบริหารจัดการน้ำที่เป็นการรองรับปัญหาต่างๆ ในระยะยาวจึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนไม่ใช่ต้องมาคอยแก้ไขเฉพาะหน้าเช่นทุกวันนี้

          ทั้งนี้ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมีพื้นที่ทางการเกษตรประมาณ 150 ล้านไร่แต่พื้นที่ที่มีระบบชลประทานรองรับมีเพียง 33 ล้านไร่เท่านั้นการเข้าถึงแหล่งน้ำของเกษตรกรจึงมีน้อยมากที่เหลือต้องพึ่งเทวดาฟ้าฝน หากรัฐบาลทุกรัฐบาลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มองเห็นคุณค่าของเกษตรกรอย่างจริงใจการก่อสร้างระบบชลประทานน้อยใหญ่ซึ่งในอดีตลงทุนไม่มากแถมยังไม่มีปัญหาจะไปกระทบกระทั่งกับชุมชนที่ยังขยายตัวไม่มากเช่นปัจจุบัน มีการทยอยสร้างกันมาต่อเนื่อง วันนี้ปัญหาซ้ำซากเรื่องภัยแล้ง น้ำท่วม คงไม่เกิดขึ้นจนกระทบต่อภาคเกษตรกรที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติเช่นปัจจุบัน

          การบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาดำเนินการที่ต่อเนื่องจึงจะได้ระบบชลประทานที่เพียงพอโดยเฉพาะการหล่อเลี้ยงภาคเกษตรของไทยโจทย์ใหญ่นี้ต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาลทุกๆรัฐบาล.

          "การบริหารจัดการน้ำระยะสั้นของรัฐซึ่งทางกรมชลประทาน จะเฝ้าติดตามการระบายน้ำ ในน้ำ ลุ่มเจ้าพระยา อย่างใกล้ชิดและได้ยืนยันว่าจะสามารถควบคุมน้ำ เพื่อการบริโภคและอุปโภคได้จนถึงเดือนกรกฏาคมนี้อย่างแน่นอน"

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา วันที่ 5 เมษายน 2559