เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » สรุปหนังสือ » รายละเอียด

มองไกลบนไหล่ยักษ์

   
ผู้แต่ง : วิสูตร แสงอรุณเลิศ 
ผู้เรียบเรียง : วิสูตร แสงอรุณเลิศ 
ผู้แปล : - 
สำนักพิมพ์ : สต็อคทูมอร์โรว์
จำนวนหน้า : 256
ราคา : 275 บาท
ผู้สรุป : หอสมุด ธ.ก.ส.  
   
   
บทสรุป :

          คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้นล้วนแต่มีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ไกลๆ

          ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำอาชีพอะไรอยู่ จะเป็นลูกจ้างประจำ ทำงานอิสระ หรือเป็นเจ้าของกิจการ เป้าหมายนึงที่ผมคิดว่าเราทุกคนควรจะมี และต้องทำให้ได้ก็คือ

          “พัฒนาตัวเองให้ขึ้นมาเป็น Top 10% ในสายอาชีพ”

          เหตุผลก็เพราะว่าคนที่เป็น Top 10% ในวงการนั้นๆ จะเป็นคนที่ได้งาน 90% ซึ่งหมายถึงรายได้อันมหาศาลและโอกาสต่างๆอีกมากมาย

          บอกไว้ก่อนเลยว่า ยุคนี้โหดนะครับ โลกนี้ไม่มีที่ยืนให้กับพนักงานธรรมดา หรือบริษัทงั้นๆ ยุคนี้ผู้ชนะกินเรียบ เหมือนภาษาอังกฤษที่ว่า Winner takes it all” ที่น่าสนใจก็คือ พอเวลาเป็น Top 10% ของสายอาชีพนั้น ต่อให้เราคิดเงินแพงเท่าไหร่ก็มีคนจ่าย เพราะทุกคนต้องการที่ดีไว้ใจได้

          เกิดมาทั้งที ตั้งเป้าหมายไว้ให้สูงๆ ไปเลยครับ ว่าเราต้องเป็นแถวหน้าของอาชีพเราให้ได้ อย่าเป็นแค่คนแค่พนักงานธรรมดาหรือบริษัทงั้นๆ พัฒนาตัวเองให้เป็น Top 10% ในสายอาชีพ แล้วเราจะได้งาน 90% ในสายอาชีพเราอยู่

          ขั้นแรกที่เราควรทำก็คือ การตั้งเป้าหมาย เราควรตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ๆเข้าไว้ ไม่ต้องกลัวต่อคำครหา เพราะ “ถ้าคิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง” ถ้าเรามัวกังวลหรือขุ่นข้องหมองใจหรือมัวแต่เชื่อคำพูดของคนอื่น ป่านนี้พี่น้องตระกูลไรท์คงไม่สามารถที่จะสร้างเครื่องบินออกมาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นสงสัยพวกเราคงจะต้องนั่งเรือข้ามทวีปกันอยู่เลย

          ดังนั้น ถ้าจะฝันทั้งทีต้องเอาให้ใหญ่ ต้องเอาให้สะเทือนโมเลกุลหัวใจ ให้อยากลุกขึ้นไปทำตามฝันทุกเช้า และเฝ้าคิดถึงมันก่อนนอน

          ขั้นต่อมาก็คือ การลงมือทำ ในการลงมือทำนั้น เราอาจจะเคยได้ยินคำที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จเพียงวันเดียว” ดังนั้น การที่เราจะลงมือทำตามฝันมันก็เป็นเรื่องที่ยาก เราควรจะต้องอดทน อดใจเอาไว้ เหมือนคำที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเคยกล่าวเอาไว้ว่า “คนที่วันนี้มีร่มไม้ไว้นั่งเล่นเย็นสบาย ก็เพราะเมื่อนานมาแล้วเขาได้ปลูกต้นไม้เอาไว้นั่นเอง” เพราะว่าไม่มีความสำเร็จไหนได้มาในวันเดียว ทุกอย่างต้องผ่านกาลเวลา บางคนอาจจะใช้เวลาช่วงสั้น บางคนอาจจะใช้เวลายาวนานเป็นปีกว่าจะทำสำเร็จตามความฝัน ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่วัดใจของเรามากเลยทีเดียว เพราะว่าปัญหาของคนส่วนใหญ่นั้นก็คือ “เขาอดไม่ได้ 2 อย่าง”

          อดไม่ได้อย่างแรกคือ “อดทนรอความสำเร็จไม่ไหว”

          มีคนมากมายที่ยอมแพ้ไปก่อน ลงมือทำอะไรได้ไม่นานก็ล้มเลิกอย่างรวดเร็ว เข้าทำนอง ตัดสินใจเชื่องช้ากว่าจะลงมือทำ แต่กลับเปลี่ยนใจเร็วเมื่อเจออุปสรรค

          อดไม่ได้อย่างที่สองคือ “อดใจไม่ไหวกับสิ่งยั่วยวน”

          มีคนมากมายที่หวั่นไหวไปตามกิเลส พวกเขารักความสบาย ชอบมีความสุขเดี๋ยวนี้เลย ปัญหาอะไรจะเกิดก็เก็บเอาไปแก้ทีหลัง จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ นี่คือคำติดปากของคนแนวนี้

          และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “อย่ากลัวความล้มเหลว” ถึงแม้ว่าเราจะทำมันลงไปทั้งๆที่เรานั้นก็ยังไม่มั่นใจ แต่เราก็ควรจะ “เชื่อมั่นในตนเอง” เชื่อว่าเรานั้นจะทำมันได้ จงเปลี่ยนโลกใบนี้ด้วยความเชื่อของเรา เพราะถ้าเราเชื่อมากพอ ก็จะมีคนที่เชื่อเหมือนเราตามมา

          เพราะว่า “ผู้คนไม่ได้ซื้อสินค้าหรือบริการจากเราด้วยเหตุผลที่ว่า เราขายอะไร” แต่ด้วยเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงทำสิ่งนั้นออกมา? เราเชื่อในอะไร? และถ้ามันน่าเชื่อมากพอ ก็จะมีคนเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ

          ขอยกตัวอย่างของ Steve Jobs

          Steve Jobs เชื่อในความแตกต่าง เขาเชื่อในความคิดสร้างสรรค์ เขาเชื่อในความเรียบง่าย และ iPhone ก็ตอบสนองความเชื่อของเขาได้ Apple จึงกลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์เพียงบริษัทเดียวที่ขายโทรศัพท์มือถือได้ถล่มทลาย เพราะมีคนเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ

          แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูภูมิหลังของ  Steve Jobs เราจะเห็นได้ว่า ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้ เขาก็ต้องเคยพบกับความล้มเหลวมาก่อน ทั้งเคยถูกไล่ออกจากการเป็นซีอีโอของบริษัทที่ตนตั้งมากับมือ อีกทั้งยังทำให้บริษัทประสบกับการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและเป็นจำนวนมหาศาลจนทำท่าว่าจะไปไม่รอด ฐานะของบริษัทย่ำแย่ถึงขั้นที่ผู้บริหารคิดจะขายให้แก่ไอบีเอ็มแต่ไม่สำเร็จ แต่แล้วในที่สุดแอปเปิลก็กลับฟื้นขึ้นมาและผงาดอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อ Steve Jobs กลับมาเป็นซีอีโอของแอปเปิลอีกครั้ง

          เราจะเห็นได้ชัดว่า “ความล้มเหลว” กลับกลายเป็นประสบการณ์และเป็นแรงผลักดันให้เราสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ขอแค่เรามีความเชื่อว่าเราจะสามารถที่ทำมันได้

        “เพราะถึงแม้ว่าเราจะล้ม เราก็ยังล้มลงไปข้างหน้า”

        ดังนั้นแล้ว “จะความสำเร็จหรือความล้มเหลวก็ตาม พวกมันล้วนสร้างขึ้นมาจากอิฐทีละก้อนๆ”

ถ้าอดีตเราพลาดไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้ มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ป่วยการจะมานั่งคิดเปล่าๆ

          ประเด็นสำคัญก็คือ “วันนี้เราลงมือหว่านเมล็ดพันธุ์เพื่อวันพรุ่งนี้แล้วหรือยัง?”

          ถ้ายังก็เริ่มต้นทำเสียตั้งแต่วันนี้ ปล่อยเรื่องในอดีตเอาไว้กับปีเก่า ผ่านปีใหม่เราสามารถทำตัวเป็นคนใหม่ได้ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เถอะครับ การ “มองไกลบนไหล่ยักษ์” ไม่ใช่เรื่องยาก

 

   
สารบัญ