ชื่อหนังสือ : รักษาอาการเจ็บป่วย โดยไม่ใช้ยา
ผู้เขียน : นิดดา หงษ์วิวัฒน์
สำนักพิมพ์ : บริษัท พิมพ์ดี จำกัด
ราคา : 160.- บาท
จำนวน : 255 หน้า
ผู้สรุป : พูนสุข มนัสวิวัฒน์ ผู้เกษียณอายุ ปี 2551
เห็นชื่อผู้เขียนคุ้นตารีบคว้ามาอ่านเพราะ ติดใจในฝีมือของเธอมานาน การันตีได้ว่าเนื้อหาเข้าใจง่ายน่าติดตาม
หนังสือเล่มนี้เธอถอดความรู้สึกได้สาระดีๆ มาฝาก เธอกลั่นออกมาจากใจเพราะเธอเป็นผู้ป่วยที่ใช้ยาสารพัดขนานวิตามินสารพัดชนิด วันนี้มาเรียนรู้จากเธอกันได้เลยค่ะ แล้วสุขภาพคุณจะไม่มีอาการเจ็บป่วยอีกต่อไปค่ะ
1. การลดน้ำหนัก ต้องใจเย็นๆ ทำจิตใจให้สบายไม่ต้องชั่งน้ำหนักบ่อยๆ และต้องมีวินัย
* กินอาหารไม่มาก เลือกอาหารที่มีคุณภาพ เช่น ผักตามฤดูกาล ผลไม้ชนิดไม่หวาน ควรกินให้ได้ปริมาณ 50 % ของมื้ออาหาร
* การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเท่านั้น จึงจะดึงไขมันออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ ช่วยให้ไหลเวียนเลือดดี ทำให้เซลล์ต่างๆ แข็งแรง โดยการว่ายน้ำวิ่งเร็ว วิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน คววรออกกำลังกายอย่างน้อย 15 นาที อย่างน้อย 3 ต่อสัปดาห์
2. จัดการบริหารกระดูกคอ ด้วยการทำโยคะ 2 ช่วง คือ ช่วงตื่นนอนกับช่วงเข้าห้องน้ำ
* ช่วงตื่นนอน ยังไม่ลุกจากเตียง ให้เหยียดนิ้วมือ นิ้วมือ แขนขา และปิดตัว เพื่อปลุกเซลล์ทั้งหลาย ใช้เวลาเพียง 2-3 นาที
* ดื่มน้ำ 1 แก้ว จึงล้างหน้า แปลงฟัน แล้วเตรียมพร้อมโยคะ
* บริหารปอด ด้วยการวางแขนและฝ่ามือคว่ำข้างกาย หายใจเข้าช้าๆ พร้อมกับยกแขนสองข้างขึ้นช้าๆ หายใจให้เต็มปอด แล้วกลั้นลมหายใจ นับ 1-5 จากนั้นเหยียดให้ตรงเหนือศีรษะกระดูกแขนจะดึงกระดูกสันหลังให้ตั้งตรง ทำทั้งหมด 10 ครั้ง
* บริหารกระดูกและกล้ามเนื้อ ตั้งแต่ฝ่าเท้า หลัง ไหล่ และบริเวณคอ ดังนี้
1. หายใจเข้าช้าๆ พร้อมยกขาข้างหนึ่งตั้งตรงขึ้นช้าๆ จนสุดขา
2. หายใจออกช้าๆ พร้อมกับยกศีรษะขึ้น งอเข่า ใช้มือสองข้างดึงเขาเข้ามาชิดอกให้มากที่สุด พร้อมกับยกศีรษะขึ้นไปชิดให้มากที่สุด ค้างไว้จนสุดลมหายใจออก
3. หายใจเข้าช้าๆพร้อมกับเหยียดขาชันขึ้นช้าๆ จนขาเหยียดตรง ค้างไว้จนสุดลมหายใจเข้า
4. หายใจออกช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ ลดขาลงไปสู่แนบราบสุดลมหายใจออกพอดี
* ทำเช่นเดียวกันนี้ กับขาอีกข้างหนึ่ง
การทำโยคะมทั้งท่ายืน ท่านอน ท่านั่ง แล้วแต่จะสะดวกและขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วยค่ะ หลังจากโยคะเสร็จแล้วควรดื่มน้ำ 3-4 แก้ว เสมอ
3. สมองต้องการพักผ่อน เพราะเวลาเครียดสมองส่วนที่สองจะแปลงอารมณ์กดดันต่างๆ ให้ร่างกายเปลี่ยนไป ซึ่งอาจทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนแอ เป็นหวัดบ่อย ปวดท้อง ปวดหัว ภูมิต้านทานลดลง
* การพักสมอง คือ การหยุดคิด ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อจะไม่เกร็ง ภาวะเส้นเลือดจะผ่อนคลายเลือดจะไหลได้คล่องตัว
* อาหารเช้าบำรุงสมองหัวใจ โดยสมองจะดูดซึมอาหารได้สูงสุดช่วงเวลา 7.00-9.00 น.
* กลูโคสในร่างกายจากอาหารประเภทแป้ง ผัก ผลไม้ จะถูกส่งไปเลี้ยงสมอง ทำให้สดชื่น
* น้ำตาลอันตรายต่อสมอง เพราะสมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาหารที่ก่อให้เกิดอันตรายให้กับสมอง คือ น้ำตาล ซึ่งมาจากขนมหวาน น้ำอัดลม ไอศกรีม น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ จะเกิดภาวะเลือดต่ำ ทำให้หน้ามืดวิงเวียนศีรษะ
4. เลือดต้องการน้ำตาลเพียง 2 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อน้ำตาลทะลักออกมามาก ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นทันที เกิดความไม่สมดุลในกระแสเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อทุกอวัยวะ ดังนั้นร่างกายจึงต้องรีบจัดการกับน้ำตาลส่วนเกินออกไปด้วยการบังคับให้ตับอ่อนเร่งผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาในจำนวนมากกว่าปกติ
* ขณะตับอ่อนเร่งทำงานก็สร้างภาวะเครียด สมองจึงต้องการสั่งให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนออกมาเพื่อกระตุ้นให้เซลล์เร่งใช้น้ำตาลไปเป็นพลังงาน
* น้ำตาล ทำให้เกิดกรดในช่องว่าง กรดไปทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุ
* น้ำตาลที่ล้นเกินในกระแสเลือด ทำให้เกิดเส้นเลือดฝอยสูญเสียความสามารถลง ทำให้เลือดหนืด เพราะมีความหวาน หัวใจจึงต้องทำงานหนักก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
* น้ำตาล เป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวก่อการร้ายของเซลล์ร่างกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งการเป็นโรคมะเร็งด้วย น้ำตาลสูงทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย ภูมิต้านทานลด ผู้ที่ชอบกินขนมหวานเป็นผู้หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อย ตาแห้ง ผิวแห้ง ปวดฟันบ่อยๆ
5. อยากตาหวานให้กินผักบุ้งเพราะมีสารแซนโทฟิลล์สูง ช่วยเสริมสุขภาพตา ทำให้ตาแข็งแรง มีประกายในดวงตา สำหรับผ้าเขียวอื่นๆ ก็ช่วยดวงตาได้
6. อานุภาพแห่งน้ำ น้ำช่วยควบคุมอุณภูมิในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล
* น้ำเมื่อเข้าสู่ปากจะมีการดูดซึมไปสู่ร่างกายเล็กน้อย เมื่อไหลเข้าสู่ลำไส้เล็ก น้ำจะถูกดูดซึมเป็นส่วนมากจะคลุกเคล้ากับอาหารถูกส่งออกสู่ลำไส้ใหญ่จึงมีบทบาททำให้ขับถ่ายได้สะดวก
* น้ำรักษาโรคต่างๆ เช่นโรคปวดศีรษะ โลหิตจาง ความดันโลหิตสูง ปวดกระดูก
* น้ำช่วยให้นอนหลับ
7. อุปสรรคของชีวิตอีกเรื่อง คือ ตาแห้ง ตาพร่ามั่ว
* โยคะดวงตา ใช้มือทั้งสองถูกันแรงๆ จนเกิดความอุ่น แล้วประคบดวงตา จากนั้นวางฝ่ามือคว่ำลงบนเข่า
* มือขวากำ แล้วชี้หัวแม่มือขึ้นตา เหลือบต่ำ มองที่หัวแม่มือ เหยียดแขนตรงค่อยๆ ยกหัวแม่มือขึ้นมา อยู่ในระดับไหล่ ตามองตามหัวแม่มือตลอดเวลา นับ 1-10 จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนหัวแม่มือไป ทางซ้าย แบบงอข้อศอกไปหยุดเหนือไหล่ข้างซ้ายค้างไว้นับ1-10 แล้วค่อยๆ เคลื่อนกลับมาอยู่ที่เดิม
* มือซ้ายกำ ยกหัวแม่มือขึ้น แขนเหยียดตรงค่อยๆ ยกขึ้นจนเสมอไหล่ ตามองที่ปลายนิ้วตลอดเวลา
8. บริหารเข่าและขา เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนดี
* นอนท่าเตรียมพร้อมผ่อนคลาย
1. หายใจเข้าช้าๆ พร้อมกับงอเข่า ใช้มือทั้งสองข้างดึงเข่าเข้ามาชิดอกให้มากที่สุดพร้อมกับยกตัวขึ้น
2. หายใจเข้าช้าๆ พร้อมกับเหยียดขาตรงค้างไว้
3. หายใจออกช้าๆ พร้อมกับค่อยๆลดขาลงไปจบสู่แนวราบ ทำเช่นนี้รวม 4 ครั้ง แนะนำให้อ่านได้หอสมุด ธ.ก.ส. ค่ะ และการันตี เป็นหนังสือที่ควรมีไว้ประจำบ้านด้วยค่ะ