องค์การคึกคัก
ผู้เรียบเรียง : Minoru Noda and J-Feel | ||
สำนักพิมพ์ : - | ||
จำนวนหน้า : 240 หน้า | ||
ราคา : 200 บาท | ||
ผู้สรุป : พูนสุข มนัสวิวัฒน์ | ||
บทสรุป :
หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรมบริหารจัดการให้ความสนใจต่ออารมณ์ขององค์การ โดยใช้เหตุผลในเชิงเศรษฐศาสตร์เพราะเมื่ออารมณ์ของความรู้สึกเป็นบวก พนักงานต่างมีพฤติกรรมเป็นบวกและมีแรงจูงใจที่เพิ่มสูงขึ้น ย่อมมีผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายลดลง ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก การสื่อสารไหลลื่น มีความสุขกันถ้วนหน้า เมื่อกล่าวถึงองค์การคึกคัก ขอให้นึกถึงภาพพจน์ขององค์การที่ “ทุกคนมีความกระฉับกระเฉงและมีทัศนคติที่มองโลกในเชิงบวก ทุกคนทำงานอย่างทุ่มเทและรู้สึกชื่นชมดีใจกับความสำเร็จที่ได้มา ค่านิยมองค์การจะได้รับการเสริมให้แข็งแกร่งนำพาความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว อันเป็นรากฐานสำหรับการทำงานร่วมกัน เมื่อมีผลงานเกิดขึ้นก็ส่งผลให้อารมณ์ความรู้สึกมีการเปลี่ยนแปลงการกระตุ้นให้เกิดความคึกคัก การโค๊ชชิ่งตัวเอง (Coaching ourselves) เป็นการฝึกอบรมที่นำมาเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่นสามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการฟื้นฟูอารมณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มฝึกอบรมสำหรับสมองซีกซ้าย (หลักตรรกะและความรู้) หลังจากนั้นจึงนำไปสู่การพัฒนา “ธุรกิจสำหรับสมองซีกขวา (ฟื้นฟูอารมณ์) สิ่งที่พบเห็นจากการฝึกอบรมก็คือ เมื่อเราพยายามเสริมให้สมองซีกขวามีสมรรถนะดีขึ้น ก็จะมีส่วนช่วยให้สมองซีกซ้าย สมองซีกขวาก็จะดีตามไปด้วย อารมณ์องค์การ คือ บรรยากาศ ความรู้สึกอารมณ์ที่แพร่กระจายอยู่ในองค์การทั้งหมด อารมณ์แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ “ความสะเทือนใจ” “อารมณ์” และ หากอารมณ์เป็นหนึ่ง ๆ อยู่กับเราเป็นเวลานาน อารมณ์นั้นก็จะกลายเป็น “ภาวะอารมณ์” หรือ mood เช่น เมื่อไหร่ที่เราอยู่ในภาวะอารมณ์ที่มองเชิงลบ เราก็จะเห็นเฉพาะด้านลบของเหตุการณ์ทุกอย่าง อารมณ์องค์การ เป็นผลมาจากอารมณ์ของพนักงานแต่ละคนในองค์การ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกันและกัน จนกระทั่งกลายเป็นอารมณ์ร่วมกันขององค์การโดยรวม อารมณ์คึกคัก คือ มีความรู้สึกอยากจะลองทำงานเองโดยไม่ต้องรอคำสั่ง หากอารมณ์ทั้งตนเองและอารมณ์องค์การมีอารมณ์แตกต่างกันมากย่อมทำให้พนักงานส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้น จึงควรมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น หากอารมณ์ตนเอง(ของพนักงาน) ต่างกระตือรือร้น มุ่งที่จะทำงานโดยเริ่มจากตนเอง แต่อารมณ์องค์การกลับมีความต้องการสวนทางกัน บรรยากาศเช่นนี้ไม่ดี อาจจะทำให้พนักงานมีความกลัดกลุ้ม จนอาจอยู่ในภาวะไปสู่อารมณ์ ล้มละลาย จะมีความหงุดหงิด เนื่องจากไม่สามารถทำงานได้ทันเวลาและต่อไปจะก่อเกิดอารมณ์ก้าวร้าวได้ การที่องค์การจะสามารถรักษาสมดุลของทั้งอารมณ์คึกคักและกระตือรือร้นได้ ต้องไม่ให้แรงจูงใจเฉพาะพนักงานที่สร้างผลงานดีเด่นเท่านั้น แต่ต้องมีกลไกที่ทำให้ทั้งองค์การสามารถชื่นชมและยกย่องบทบาทที่แต่ละคนได้ช่วยกันทำให้เกิดความสำเร็จด้วย การสำรวจอารมณ์องค์การ ควรทำทุกครึ่งปีหรือทุกไตรมาส เพื่อใช้ในการเฝ้ามององค์การ เครื่องหมายการค้าของผู้เขียน คือ วิธีการอบรมแบบย้อนดูตัวเอง (Reflection Round Table (RRT) ผู้เข้าร่วมอบรมจะเกิดความรู้สึกร่วมกันมีความเข้าใจร่วมกัน และเกิดการตระหนักคิดขึ้นมาได้โดยได้จากแนวคิดของการโคชชิ่งตัวเอง (Coaching Ourselves) ของศาสตราจารย์ Henvy Mintzberg) ศาสตราจารย์ Henvy เป็นผู้นำเสนอแนวคิดที่ต่างออกไปจากกลุ่มนักวิชาการด้านบริหารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและได้เขียนหนังสือชื่อ “ภารกิจของผู้จัดการ” ซึ่งชี้ให้เห็น ถึงลักษณะของงานผู้จัดการ บทบาทของผู้จัดการในแนวทางของ ศาสตราจารย์ Henvy 10 ประการ คือ (1) การแสดงบทบาทในฐานะผู้แทนองค์การ (2) การรับผิดชอบต่องานของสมาชิก (ผู้ใต้บังคับบัญชา) (3) การรับผิดชอบในฐานะบทบาทของการเชื่อมโยงประสานงาน (กลุ่มงานต่าง ๆ) (4) การรวมรวมและรับรู้ข้อมูลทั้งภายในและภายนอก (5) การจัดสนองข้อมูล (6) การแถลงแจกแจงข้อมูลต่อภายนอก (7) การตัดสินใจ เกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ (8) การแก้ปัญหา กำจัดอุปสรรคที่เกิดกับโครงการต่าง ๆ (9) การจัดสรรทรัพยากรแก่โครงการต่าง ๆ (10) การรับบทบาทในการเจรจา ต่อรอง การพบปะพูดคุยประเด็นหลักในการอบรมผู้จัดการแต่ละครั้งใช้เวลา 60 นาที ก่อนเข้าเรื่องหลัก เพื่ออธิบายถึงเหตุการณ์บริหาร หรือ Management Happening จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ รวมถึงการย้อนดูตัวเอง ย่อมจะมองเห็นปัญหาที่ติดขัด มีผลให้เกิดข้อคิด ข้อเตือนใจ นับเป็นเทคนิคที่ช่วยให้การอบรมรูปแบบนี้ประสบความสำเร็จ หาอ่านตัวอย่างจริงในองค์การที่ผ่านการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญในประเทศญี่ปุ่นได้จากหนังสือเล่มนี้นะค่ะ |
||