โบราณว่าเพียงแค่รู้สาเหตุของปัญหาเท่านั้น ก็เหมือนกับแก้ปัญหาไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหมือนกับการวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องก็สามารถรักษาโรคนั้นได้โดยตรง มิใช่เพียงรักษาตามอาการ แต่ในสภาวการณ์เศรษฐกิจที่บีบคั้นอย่างเช่นทุกวันนี้  ดูเหมือนความพยายามที่จะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาจะยากยิ่งขึ้น เมื่อมีผู้นำธุรกิจต้องเผชิญกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาอย่างท้วมหัว  หากขอให้ผู้นำธุรกิจระบุว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขากำลังเผชิญคืออะไร คุณอาจจะได้รับคำตอบที่หลากหลายตั้งแต่ปัญหาธุรกิจที่ไม่เติบโต ปัญหาการสื่อสาร ปัญหาประสิทธิภาพการผลิต ปัญหาพนักงาน การแข่งขันสูง ผลกระทบจากโลกาภิวัตน์ และอื่นๆ อีกมากมาย

                แต่ Gary Harpst ชี้ไว้ในหนังสือ Six Disciplines Execution Revolution เล่มนี้ว่า ปัญหาเหล่านั้นสำคัญก็จริงแต่หาจุดสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจ Harpst บอกว่าไม่ว่าปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้จะเป็นอะไร แต่มันจะเปลี่ยนไปเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ และจะยิ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น

แต่มีปัญหาทางธุรกิจประการหนึ่งที่หากคุณสามารถแก้มันได้จะทำให้คุณแก้ปัญหาอื่นๆ ทุกปัญหาได้ง่ายดายขึ้น

                ผู้แต่งยืนยันว่า การเรียนรู้วิธีวางแผนและปฏิบัติตามแผน คือความสามารถที่สำคัญที่สุดที่ทุกองค์กรควรจะต้องมีหากต้องการบรรลุความเป็นเลิศในธุรกิจของตน ผู้แต่งชื่อว่า ผู้นำธุรกิจส่วนใหญเริ่มต้นด้วยการมีวิสัยทัศน์แห่งความเป็นเลิศอยู่ในใจ แต่เมื่อถูกรุมเร้าด้วยปัญญามากมายทั้งจากภายในและภายนอก ที่มาดึงความสนใจของพวกเขาให้เบี่ยงเบนไป พวกเขาจึงหลงลืมวิสัยทัศน์ ดังกล่าวไป แล้วหันไปคว้าวิธีคิดแบบนักดับเพลิงมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งมีแต่จะทำลายหนทางแห่งการแสวงหาความเป็นเลิศ

ค้าหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา

                Harpst  ยืนยันว่า ด้วยการมุ่งเน้นการบรรลุความเป็นเลิศเพียงประการเดียวเท่านั้น ผู้นำธุรกิจก็สามารถจะรับมือกับปัญหาอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดได้ดีขึ้น ผู้แต่งชี้ว่า ความเป็นเลิศใช่แนวคิดการบริหารจัดการที่คลุมเครือ แต่ความเป็นเลิศจะเกิดขึ้นได้เมื่อสามารถสร้างสมดุลระหว่างการวางแผนและการปฏิบัติตามแผน Harpst  ซึ่งมีประสบการณ์ถึง 27 ปี ในการเป็น CEO  และร่วมก่อตั้งบริษัทถึง 3 แห่ง แนะนำวิธีใหม่ต่อผู้นำธุรกิจในการเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนและการปฏิบัติตามแผน  ซึ่งมีอุปสรรคสำคัญ 3 ประการ ที่ผู้นำธุรกิจจะต้องเอาชนะ จึงจะประสบความสำเร็จได้ นั่นคือความชำนาญที่ไม่เพียงพอ สภาพเศรษฐกิจ และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ พร้อมกับแนะนำการสร้างวินัยและระเบียบวิธีต่างๆ เพื่อปรับปรุงธุรกิจ ได้แก่ การควบคุมคุณภาพ การค้นหากระบวนการทำงานที่ดีที่สุด เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ความรู้ทางธุรกิจ การวางแผน การสร้างชุมชนเสมือนจริงและการฝึกปฏิบัติทางธุรกิจ 

สร้างระเบียบวิธี

                แก่นของคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้คือ การสร้างระเบียบวิธีต่างๆ เกี่ยวกับการวางแผน การจัดการ การลงมือปฏิบัติ และการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทั้งหมดนี้จะขับดันให้องค์กรเกิดการเรียนรู้และเข้าใจ แต่หากไม่มีวินัยเหล่านี้ การเรียนรู้จะไม่ต่างอะไรกับกระบวนการลองผิดลองถูกและความพิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามด้วยการ  “ดับไฟ” ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่หากมีวินัยจะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานแต่ละคนสอดคล้องกับสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ

                น่าเศร้าที่ผลสำรวจพบว่า มีเพียง 1 ใน 3 ของพนักงานเท่านั้นที่จะเข้าใจแผนธุรกิจของนายจ้าง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะขาดการสื่อสารกับพนักงาน การทำงานที่ไร้ทิศทาง ซึ่งจะทำให้ผลงานและนวัตกรรมเกิดขึ้นได้เพียงจำกัด และเมื่อองค์กรของคุณโตขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกับพนักงานมากขึ้น เพื่อเชื่อมประสานการทำงานของพนักงานให้เข้ากับเป้าหมายของบริษัท

                แม้ว่าบริษัทที่ใหญ่กว่าอาจจะมีเงิน เทคโนโลยีหรือทรัพยากรมากกว่าการเผชิญกับปัญหาต่างๆ แต่ผู้แต่งก็กระตุ้นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมว่า โอกาสที่บริษัทขนาดเล็กจะสามารถตีเสมอบริษัทที่ใหญ่กว่านั้นมาถึงแล้วด้วยการก้าวข้ามวิธีการแบบเดิมๆ ที่ล้าสมัยและเสียค่าใช้จ่ายสูงในอดีต แล้วหันมาปฏิวัติวิธีการวางแผนและปฏิบัติตามแผนอย่างมีวินัย