Jump the Curve
ผู้เรียบเรียง : Jack Uldrich | ||
สำนักพิมพ์ : Platinum Press | ||
จำนวนหน้า : 242 หน้า | ||
ราคา : 19.95 บาท | ||
ผู้สรุป : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ มิ.ย. 51 | ||
บทสรุป :
Jack Uldrich นักเขียนเรื่องเทคโนโลยีและผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชี้ว่า ความเร็วของการเเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากเหมือนเลขยกกำลังแม้ว่าคนอายุเกิน 30 ขึ้นไปจะรู้สึกได้ถึงความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนี้ ได้ชัดเจนกว่าคนวัยอื่น แต่แม้กระทั่งคนที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีและเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ของเทคโนโลยีมาตลอดชีวิตก็ยังอดที่จะงงงันกับความรวดเร็วนี้ไม่ได้ Uldrich ยืมคำโบราณที่ออกเสียงยากอย่าง zenzizenzizenzic ซึ่งมีความหมายว่า เลขยกกำลังแปดมาสื่อ “สาร” ที่เขาต้องการใน Jump the Curve: 50 Essential Strategies to Help Your Company Stay Ahead of Emerging Technologies ผู้บบริหารที่สามารถเอาตัวเองรอดจากเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบยกกำลัง ซึ่ง Uldrich เรียกว่า “ผู้บริหารยกกำลัง” (exponential executive) จะเป็นคนที่คิดได้ไกลเกินกว่าเส้นการเรียนรู้ปกติ เพื่อที่จะได้พบกับพลังอีกหลายชนิด ขอพลังสถิตอยู่กับท่าน ผู้แต่งชี้ว่า มีพลัง 10 อย่างที่จะนำพาธุรกิจของคุณเข้าสู่เขตแดนอื่น ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราเร่ง พลังทั้งสิบนั้นคือ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการเก็บข้อมูล ช่วงสัญญาณอินเทอร์เน็ต ลำดับพันธุกรรมมนุษย์ การตรวจการทำงานของสมองหรือ brain scanning ปัญญา ประดิษฐ์โปรแกรมคอมที่เลียนแบบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของยีนหรือ genetic algorithms หุ่นยนต์นาโนเทคโนโลยี และสุดท้ายคือความรู้ แม้ว่าพลังทั้งสิบนี้จะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมากอยู่แล้ว แต่ Uldrich ชี้ว่า พลังเหล่านี้ยังก้าวหน้าไปเพียงแค่ 1 % ของศักยภาพทั้งหมดที่มันมีอยู่เท่านั้น ซึ่งหมายความว่ายังมีช่องว่างของการเติบโตอีกมหาศาล ที่ผู้บริหารยกำลังจะสามารถกระโดดข้ามเส้นการเรียนรู้ปกติและเข้าถึงพลัง เหล่านั้น การที่พลังต่างๆ ข้างต้นเพิ่งจะก้าวหน้าไปเพียง 1 % ของศักยภาพทั้งหมดที่มันมีอยู่ ทำให้ยากที่จะมองเห็นว่า สุดท้ายแล้วพลังเหล่านั้นจะก้าวหน้าไปได้ไกลเพียงใด และความก้าวหน้าของพลังเหล่านั้นจะทำให้ผลรวมของความรู้เพิ่มพูนขึ้นอีกมากมายเพียงใด เมื่อคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้ในวันนี้จะมีค่าเท่ากับความรู้เพียงไม่ถึง 1 % ของความรู้ทั้งหมดในปี 2050 กระบวนทัศน์ของธุรกิจจะเปลี่ยนแปลง เมื่อ 25 % ของประชากรโลกยอมรับเทคโนโลยีใหม่ โทรศัพท์ใช้เวลา 35 ปีจึงไปถึงจุดดังกล่าว ซึ่งสัดส่วนคนที่มีโทรศัพท์ใช้เพิ่มขึ้นถึงระดับ 25 % ของประชากร แต่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้เวลาน้อยกว่านั้นเพียง 16 ปี ก็สามารถทำให้ประชากร 25 % หันมาใช้คอมพิวเตอร์ได้และอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำได้เร็วไปกว่านั้นโดยใช้เพียงเวลา 7 ปีเท่านั้น เวลาที่ลดลงเรื่อยๆ ในการที่คนจะยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ทำให้สรุปได้ว่า แทบไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้และไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาหรือวิสัยทัศน์ หน้าต่างที่ทำความสะอาดตัวเอง การที่พลังทั้งสิบข้างต้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วราวจักรผัน จะส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ใช้เวลา 20 ปีต่อจากนี้ จะเท่ากับการเปลี่ยนแปลงที่เคยต้องใช้เวลานานถึง 100 ปีในอดีต Uldrich จึงเสนอกลยุทธ์ 50 ข้อสำหรับธุรกิจ เพื่อนำไปใช้ในการกระโดดข้ามเส้นการเรียนรู้ปกติ และอยู่รอดในบรรยากาศทางธุรกิจที่มีอัตราความเร็วของการเปลี่ยนแปลงสูง Uldrich ยกตัวอย่างให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่เราเห็นกันทุกวันนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไปได้มากเพียงใดในอนาคต จนบางครั้งดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อนอแรด ซึ่งสร้างจากวัสดุชนิดเดียวกับเส้นผมของคนเรา และปราศจากเซลล์ที่มีชีวิต ยังสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ถ้าเช่นนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ย่อมสามารถจะสร้างกระจก ไม้ พลาสติกหรือแม้แต่คอนกรีตที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เช่นเดียวกันแล้วคนงานซ่อมถนน เจ้าหน้าที่เคลมประกัน และงานอีกหลายอย่างคงจะต้องตกงาน ผู้แต่งชี้ด้วยว่า ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการกระโดดข้ามเส้นการเรียนรู้ปกติเกิดขึ้นแล้วหลายอย่าง และบางอย่างอยู่ในขั้นของการพัฒนา แถบกาว Velcro เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการสังเกตว่าสาเหตุใดใยพืชจึงติดตามเสื้อผ้าของเราได้ ที่จอดรถโดยใช้หุ่นยนต์ในนครนิวยอร์ก สามารถจอดรถได้ 67 คัน ขณะที่ถ้าใช้คนจอดจะจอดรถในพื้นที่เดียวกันนั้นได้เพียง 24 คัน ขณะที่กำลังมีการประดิษฐ์หน้าต่างที่จะสะอาดขึ้น ไม่ใช่สกปรกมากขึ้น ทุกครั้งที่ฝนตกโดยการฝังอนุภาคที่เล็กระดับนาโนเข้าไปในวัสดุที่ใช้ทำหน้าต่าง เทคโนโลยีการตรวจการทำงานของสมองหรือ brain scanning และลำดับพันธุกรรมมนุษย์มีความหมายว่า มนุษย์ในรูปแบบที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้อาจไม่ใช่จุดสุดท้ายของมนุษยชาติ แต่อาจเป็นเพียงย่างก้าวหนึ่งของวิวัฒนาการขั้นต่อไปของมนุษย์ก็เป็นได้ |
||