ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ ทางเลือกใหม่ช่วยชาวนากินดีอยู่ดี
ข่าววันที่ : 12 มิ.ย. 2558
Share

tmp_20151206102208_1.jpg

วันที่ ปรับปรุง 12 มิ.ย. 2558

          เพราะเป็นพันธุ์ข้าวที่ได้จากการผสมระหว่างข้าวหอมนิลกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีลักษณะเมล็ดที่เรียวยาว สีม่วงเข้ม และมีกลิ่นหอมมะลิ ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นทางด้านโภชนาการ คือ มีโปรตีนเป็นสองเท่าของข้าวหอมมะลิ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีดัชนีน้ำตาลต่ำ-ปานกลาง และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ซึ่งจากคุณสมบัติข้อนี้ นอกจากจะใช้รับประทานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือด โรคสมองเสื่อม และบำรุงร่างกายชะลอความแก่ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความนิยมและความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          ด้วยคุณสมบัติด้านโภชนาการที่โดดเด่นของข้าวไรซ์เบอร์รี่ ทำให้มีการปลูกข้าวพันธุ์นี้กระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งหากปลูกไว้กินเองคงไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้ที่ตั้งเป้าปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อต้องการขายความมีคุณค่าทางโภชนาการสูงนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ในการผลิตที่ถูกต้องตามลักษณะพันธุ์ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะได้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากพันธุ์เดิม ทั้งสีสันและปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ การปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่นี้จึงต้องอาศัยการเอาใจใส่และดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งการทำแบบอินทรีย์จะได้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่มีคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณสูงตามลักษณะพันธุ์มากที่สุด

          กระทรวงพาณิชย์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญจึงจัดทำ “โครงการเพิ่มผลผลิตข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์”ภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการดำเนินกิจกรรมการยกระดับมาตรฐานคุณภาพ และการตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในเชิงเศรษฐกิจอย่างพอเพียง เน้นการสร้างมาตรฐานคุณภาพการปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ให้ได้รับมาตรฐานสากล (IFOAM) เพื่อเป็นจุดขาย และทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ

          การปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่จำเป็นต้องใช้กระบวนการผลิตที่ดีและเหมาะสม แต่เกษตรกรทั่วไปมักคุ้นเคยกับการทำนาหว่านและใช้สารเคมีในการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตสูง เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้จึงไม่ผ่านกระบวนการลดความชื้น และขาดการสร้างตลาดส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยมักประสบปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงสอดคล้องกับ “โครงการเพิ่มผลผลิตข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการขยายพื้นที่การเพาะปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล และเพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้เกิดการรวมกลุ่ม มีระบบการบริหารจัดการการผลิต การแปรรูป รวมถึงการตลาดที่เข้มแข็ง

           อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เกิดการรวมกันเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ เรียกว่า “Riceberry Valley” ที่มีระบบการบริหารจัดการการผลิต การแปรรูป และการตลาด และมีคณะกรรมการที่เข้มแข็ง ซึ่งนอกจากเกษตรกรในโครงการจะได้รับเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตแล้วนั้น เกษตรกรยังจะได้รับความรู้ต่างๆ ทั้งทฤษฎี และปฎิบัติจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนวิทยากรที่มาจัดอบรมความรู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการทำระบบมาตราฐานเกษตรอินทรีย์ การทำข้าวอินทรีย์ตามลักษณะของพันธ์ข้าวโครงการเพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนา และนำแนวทางแก้ไขความเสี่ยงไปใช้แก้ไข ปรับปรุงแปลงนาข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ให้ได้รับมาตรฐานสากล (IFOAM) อีกด้วย

          ดังนั้น การทำนาปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์จึงเป็นการทำนาแบบทางเลือกใหม่ของเกษตรกรชาวนาที่หันมาทำนาแบบปลอดสารพิษ เพราะนอกจากไม่ทำลายธรรมชาติ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี อันเป็นการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับการปลูกข้าวขาวธรรมดาที่ต้องใช้สารเคมีและการลงทุนที่สูงอีกด้วย หากเกษตรกรคนไหนที่คิดจะปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ จึงควรตระหนักและหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนตัดสินใจ หรือสามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์ โทรศัพท์ 08-4920-8758, 08-5408-0178 หรือ http://www.riceberryvalley.org เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเริ่มปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์กันดีกว่า

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 12 มิถุนายน 2558