ไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ ทางเลือกใหม่ชาวนา
ข่าววันที่ : 11 มิ.ย. 2558
Share

tmp_20151106095240_1.jpg

วันที่ ปรับปรุง 11 มิ.ย. 2558

          ข้าวพันธุ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้คนในยุคปัจจุบัน "กินข้าวไม่ได้เพียงแค่ให้อิ่มท้องเท่านั้น แต่กินเพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ อีกด้วย  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ จึงเป็นอีกทางเลือกในการบริโภคข้าวที่มีคุณประโยชน์ เป็นพันธุ์ข้าวที่ได้จากการผสมระหว่างข้าวหอมนิลกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีเมล็ดที่เรียวยาว สีม่วงเข้ม และมีกลิ่นหอมมะลิ ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นทางด้านโภชนาการ คือ มีโปรตีนเป็นสองเท่าของข้าวหอมมะลิ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีดัชนีน้ำตาลต่ำ-ปานกลาง และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโรคมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือด สมองเสื่อม และบำรุงร่างกายชะลอความแก่ เป็นต้น

          ด้วยคุณสมบัติด้านโภชนาการที่โดดเด่นของข้าวไรซ์เบอร์รี่ ทำให้มีการปลูกข้าวพันธุ์นี้กระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งหากปลูกไว้กินเองคงไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้ที่ตั้งเป้าปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ เพื่อต้องการขายความมีคุณค่าทางโภชนาการสูงนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ในการผลิตที่ถูกต้องตามลักษณะพันธุ์ เพราะไม่เช่นนั้น

          อาจจะได้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากพันธุ์เดิม ทั้งสีสันและปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ การปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่นี้จึงต้องอาศัยการเอาใจใส่และดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งการทำแบบอินทรีย์จะได้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่มีคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณสูงตามลักษณะพันธุ์มากที่สุด  กระทรวงพาณิชย์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญจึง จัดทำ "โครงการเพิ่มผลผลิตข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์" ภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการดำเนินกิจกรรมการยกระดับมาตรฐาน

          คุณภาพ และการตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ อินทรีย์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในเชิงเศรษฐกิจอย่างพอเพียง เน้นการสร้างมาตรฐานคุณภาพการปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ให้ได้รับมาตรฐานสากล (IFOAM) เพื่อเป็นจุดขาย และทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ การปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่จำเป็นต้องใช้กระบวนการผลิตที่ดีและเหมาะสม แต่เกษตรกรทั่วไปมักคุ้นเคยกับการทำนาหว่านและใช้สารเคมีในการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตสูง เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้จึงไม่ผ่านกระบวนการลดความชื้น และขาดการสร้างตลาดส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยมักประสบปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงสอดคล้องกับ "โครงการเพิ่มผลผลิตข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์" ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการขยายพื้นที่การเพาะปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล และเพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้เกิดการรวมกลุ่ม มีระบบการบริหารจัดการการผลิต การแปรรูป รวมถึงการตลาดที่ เข้มแข็ง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เกิดการรวมกันเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ เรียกว่า "Riceberry Valley" ที่มีระบบการบริหารจัดการการผลิต การแปรรูป และการตลาด และมีคณะกรรมการที่ เข้มแข็ง ซึ่งนอกจากเกษตรกรในโครงการจะได้รับ

          เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตแล้วนั้น เกษตรกรยังจะได้รับความรู้ ต่างๆ ทั้งทฤษฎี และปฎิบัติจากเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนวิทยากรที่มาจัดอบรมความรู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการทำระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การทำข้าวอินทรีย์ตามลักษณะของพันธุ์ข้าวโครงการเพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนา และนำแนวทางแก้ไขความเสี่ยงไปใช้แก้ไข ปรับปรุงแปลงนาข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ให้ได้รับมาตรฐานสากล (IFOAM) อีกด้วย ดังนั้น การทำนาปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์จึงเป็นการทำนาแบบทางเลือกใหม่ของเกษตรกรชาวนาที่หันมาทำนาแบบปลอดสารพิษ เพราะนอกจากไม่ทำลายธรรมชาติ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี อันเป็นการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับการปลูกข้าวขาวธรรมดาที่ต้องใช้สารเคมีและการลงทุนที่สูงอีกด้วย  หากเกษตรกรคนไหนที่คิดจะปลูกข้าว ไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ สามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์ โทร 08 4920 8758, 08 5408 0178 หรือ http://www.riceberry valley.org เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเริ่มปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 มิถุนายน 2558