ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 3.0 จำนวนผู้โหวด 313
วันที่ ปรับปรุง 11 มิ.ย. 2558
นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากที่กรมชลประทาน ได้ออกประกาศประกาศงดส่งน้ำ สำหรับเพาะปลูกข้าวนาปรังตั้งแต่ช่วงปลายปี 2557 นั้น ปรากฏว่ามีชาวนาที่ฝ่าฝืนทำนาปรังไปรวมกว่า 6.87 ล้านไร่ จากที่กำหนดไว้แค่ประมาณ 2 ล้านไร่
โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดลุ่มเจ้าพระยาในเขตชลประทานที่ให้งดทำนาปรัง พบว่า มีการปลูกถึง 3.78 ล้านไร่ ส่งผลให้การใช้น้ำในเขื่อนหลัก ทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีการใช้น้ำรวมทั้งสิ้น 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงเหลือ น้ำในเขื่อนสำหรับการเพาะปลูกข้าวนาปี ระหว่างเดือนพ.ค.-ต.ค.นี้เพียงประมาณ 3,800 ล้านลูกบาศก์เมตร
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้การทำนาปีได้รับผลกระทบ ประกอบกับปริมาณน้ำฝนของภาคกลางและภาคเหนือในปีนี้ที่คาดว่าจะต่ำกว่าเกณฑ์ ดังนั้น จึงได้ขอความร่วมมือ เกษตรกรงดกิจกรรมทางการเกษตรที่เคยดำเนินการไปจนถึงต้นเดือนส.ค. เพื่อรอปริมาณน้ำฝนและน้ำในเขื่อนที่มีปริมาณเพียงพอต่อกิจกรรมทางการเกษตร
นายเลอศักดิ์ กล่าวว่า การยืดระยะเวลา การเพาะปลูกออกไปนั้น คาดว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคการเกษตร(จีดีพี) ลดลงด้วย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกรอบ วงเงินทุนหมุนเวียน ที่รัฐบาลกำหนดกรอบ เพื่อได้ช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาทั่วประเทศ ที่ประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ประมาณ 60,000 ล้านบาท ในการดำเนินการในมาตรการต่างๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนการผลิต และให้ ธ.ก.ส.สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้สหกรณ์การเกษตรและสถาบันเกษตร นั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้ ทำให้ไม่เกิดการกระตุ้นภาคการเกษตรได้ตามเป้าหมาย "ช่วงชะลอการเพาะปลูกรัฐมีแนวทางช่วยเหลือและมาตรการรองรับอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชน เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง และแนวทางการลดค่าใช้จ่าย ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีการเตรียมแผนการช่วยเหลือแล้วในระยะต่อไป"
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 มิถุนายน 2558