กำลังซื้อรากหญ้าวูบหนัก
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 10 ก.ค. 2562
ภัยแล้ง-บาทแข็งฉุดราคาพืชเกษตร
เหนือ-อีสานอ่วมวิกฤตแล้ง ฝนทิ้งช่วง สนทช.ชี้ 21 จังหวัด 160 อำเภอ เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เขื่อนขนาดใหญ่-ขนาดกลางทั่วประเทศปริมาณน้ำลดต่ำกว่าครึ่งของความจุอ่าง เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการเข้มรองรับการบริโภคภาคการเกษตร หวั่น 1-2 เดือนนี้ไม่มีฝนเติมผลผลิตข้าวนาปี มันสำปะหลังเสียหาย ธ.ก.ส.เตรียม 4 มาตรการรับมือ ชี้สงครามการค้า-บาทแข็งดับฝันชาวนาฉุดราคาส่งออกข้าว พาณิชย์เตรียมชงมาตรการประกันราคา
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้หลายพื้นที่ทั่วประเทศจะมีฝน แต่ในภาพรวมปริมาณฝนสะสมต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ปี 2524-2553 บวกกับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศขณะนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ต่ำ และมีการคาดการณ์ว่าปีนี้ฝนจะมีน้อย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน จึงน่าห่วง ว่าปัญหาภัยแล้ง จะกระทบการผลิตสินค้าเกษตร ส่งผลต่อเนื่องถึงรายได้และกำลังซื้อของเกษตรกรฐานรากซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้วตกต่ำลงอีก
สทนช.ชี้ 21 จว.เสี่ยงขาดน้ำ
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์ เอลนิโญกำลังอ่อนมีแนวโน้มสูงจะต่อเนื่อง ถึงเดือน ส.ค. ทำให้ฝนตกน้อยกว่าค่าปกติ 5% เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและมีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 160 อำเภอ 21 จังหวัด ในภาคเหนือ 34 อำเภอ 6 จังหวัด อีสาน 71 อำเภอ 8 จังหวัด ภาคใต้ 55 อำเภอ 7 จังหวัด มีเพียงภาคใต้ฝั่งตะวันตกที่ฝนจะสูงกว่าค่าปกติ 5%
สถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทั้งประเทศขณะนี้มีปริมาณน้ำรวม 39,622 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 49% โดยแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง พบว่ายังไม่มีแหล่งน้ำที่มีน้ำมากกว่า 80% มีเพียงแหล่งน้ำที่อยู่ในเกณฑ์ 60-80% อยู่ในภาคตะวันออกและภาคใต้ 3 แห่ง ขณะที่แหล่งน้ำขนาดกลางความจุ 2 ล้าน ลบ.ม.มีเพียง 1 แห่งที่ปริมาณน้ำมากกว่า 100% มี 11 แห่ง ที่ปริมาณน้ำ 80-100% และมี 37 แห่งที่ปริมาณน้ำ 60-80%
ขาดแคลนน้ำทุบซ้ำค่าบาทแข็ง
แหล่งข่าวจากกรมชลประทานเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในต่างจังหวัดกำลังประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรงขึ้น โดยปริมาณน้ำสะสมในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ลดต่ำลงกว่า 50% ของความจุอ่าง
อ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั่วประเทศ 295 แห่ง จาก 412 แห่ง มีปริมาณน้ำในอ่างน้อยกว่า 50% ขณะที่อ่างเก็บน้ำ ขนาดใหญ่ทั่วประเทศซึ่งมีความจุรวม 80,106 ล้านลูกบาศก์เมตร มีแนวโน้ม ลดลง 40% โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือเริ่มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเกษตร โดยเฉพาะการลงปลูกข้าวนาปี 2562/2563 หากไม่มีปริมาณน้ำมาเติมช่วง 1-2 เดือนนี้ จะซ้ำเติมให้การส่งออกสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าแย่ลง
ส่งออกสินค้าเกษตรหดตัว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเดือน พ.ค. 2561 กลับมาหดตัว 1.4% มีมูลค่า 3,587 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 111,197 ล้านบาท โดยสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำตาลทราย หดตัว 14.4% ข้าวหดตัว 13.3% ยางพาราหดตัว 10% ทูน่ากระป๋องหดตัว เกือบทุกตลาด 6.3% จากซัพพลายส่วนเกิน ในตลาดโลกสูง ความต้องการสินค้าเกษตร จึงลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่า ทำให้ภาพรวม 5 เดือนแรกปี 2562 สินค้าเกษตรขยายตัวได้แค่ 0.4% เท่านั้น
โรงสีกอดสต๊อกข้าว
แหล่งข่าวจากชมรมโรงสีภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเปิดเผยว่า ภัยแล้ง ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด และปริมาณน้ำในเขื่อนหลักทางภาคอีสานที่ลดลง เช่น น้ำเขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร ลดลงอย่างมาก อย่างเขื่อนอุบลรัตน์เหลือไม่ถึง 20% อาจต้องนำน้ำสำรองก้นอ่างมาใช้ในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร ใน จ.ขอนแก่น มหาสารคาม ยโสธร สุรินทร์ ยังเหลือเวลาอีก 1 เดือน ก่อนลงมือปลูกข้าวนาปี 2562/2563 เดือน ส.ค.นี้ หากไม่มีฝนเพิ่ม ผลผลิตข้าวเปลือกนาปีอาจเสียหายถึง 50% จากปกติที่ปลูกได้ 8 ล้านตันข้าวเปลือก ส่วนการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรัง 2562 แม้ผลผลิตไม่ได้ลดลงมาก แต่คุณภาพข้าวไม่ดีเท่าที่ควร
"ตามปกติเมื่อผลผลิตลดลง ราคาข้าวเปลือกข้าวสารจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ครั้งนี้ ผู้ส่งออกแจ้งว่าการส่งออกข้าวมีแต่ข่าวร้าย ส่งออกไม่ดี เงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง ประกอบกับภัยแล้งทำให้โรงสีกังวล อาจเก็บสต๊อกข้าวสำรอง เพราะมีความไม่แน่นอนสูงว่าผลผลิตข้าวอาจจะหายไป และราคาผันผวน"
เร่งรัฐช่วยปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน
นายสุเทพ คงมาก อดีตนายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ขณะนี้ เกษตรกรหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอย่างมาก เช่น นครราชสีมา ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เป็นต้น ปลูกข้าวนาปีมีปัญหาคือฝนทิ้งช่วง ทำให้ข้าวที่ปลูกแห้งตาย สมาคมได้ประสานไปยังกระทรวงเกษตรฯให้ช่วยเหลือ ส่วนราคาหรือผลผลิตข้าวยังประเมินราคาชัดเจนยังไม่ได้ เนื่องจากมีปัจจัยจากต่างประเทศเกี่ยวข้องด้วย ขณะนี้ข้าวขาว 5% ราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยอยู่ที่ 7,000-7,500 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลิราคาข้าวเปลือก 15,000-16,000 บาท/ตัน
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ในภาคเหนือและภาคอีสานฝนยังน้อยกว่าปกติ ทำให้การทำนาต้องเลื่อนออกไป ซึ่งผลผลิตข้าวช่วงตั้งท้องออกรวงฝนอาจไม่เพียงพอ ทำให้ผลผลิตลดลงและคุณภาพไม่ดี ถ้าแล้งมากผลผลิตอาจลดลงถึง 30-40%
มันสำปะหลังใบด่างระบาดซ้ำ
ขณะที่นายธีระชาติ เสยกระโทก อดีตเลขาธิการสมาพันธ์ชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เกษตรกรผู้ปลูก มันสำปะหลังกำลังประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งโรคใบด่าง เพลี้ย ภัยแล้ง แต่ราคา มันสำปะหลังขณะนี้อยู่ที่ กก.ละ 2.10-2.15 บาท สำหรับเชื้อแป้ง 25% ลดลงจาก ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย กก.ละ 2.45 บาท ส่วนต้นทุนเกษตรกรอยู่ที่ กก.ละ 2.20 บาท ทำให้ขาดทุนและได้รับผลกระทบ ภัยแล้งยังทำให้ผลผลิตไม่เติบโต
อ้อยผลผลิตลด
นายคมกริช นาคะลักษณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานองค์กรสัมพันธ์และบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มปริมาณอ้อยในฤดูการผลิต 62/63 จะลดลงจากปีการผลิต 61/62 ที่เข้าหีบถึง 130 ล้านตัน เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนทิ้งช่วงนาน รวมถึงผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดียและบราซิลลดปริมาณลงจากปัญหาความแห้งแล้ง ทำให้ปริมาณน้ำตาลลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำตาลปรับตัว ดีขึ้นอยู่ที่ 14-15 เซนต์/ปอนด์ ขณะที่ราคาอ้อยขั้นต้นคาดการณ์และมีความหวังว่าจะสูงกว่า 700 บาท/ตัน
น้ำชีแล้ง นาข้าวแสนไร่เสี่ยง
นายพัฒนะ พลศรี หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำ และบำรุงรักษาที่ 3 เขื่อนระบายน้ำฝายวังยาง โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนกลาง เปิดเผยว่า ภัยแล้งใน จ.มหาสารคามยังวิกฤต เพราะมีฝนตกลงมาไม่มาก ปีนี้ถือว่าสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี นาข้าวกว่าแสนไร่ ตลอดสองฝั่งลำชีอาจเสียหาย เพราะน้ำที่เขื่อนอุบลรัตน์ปล่อยลงมา 5 แสน ลบ.ม. มาถึงมหาสารคามแค่ 1 แสน ลบ.ม.
นายจานุวัตร เลิศศิลป์เจริญ ผู้อำนวยการ สำนักงานชลประทานที่ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้แม่น้ำปิงใน จ.เชียงใหม่น้อยกว่า ปีที่แล้ว 77% ส่วน จ.ลำพูน น้ำแม่ลี้ อ.บ้านโฮ่ง น้อยกว่าปีที่แล้ว 99% น้ำแม่ทา อ.ป่าซาง น้อยกว่าปีที่แล้ว 99% จ.แม่ฮ่องสอน แม่น้ำปาย อ.เมือง น้อยกว่าปีที่แล้ว 51% และแม่น้ำยวม อ.แม่สะเรียง น้อยกว่าปีที่แล้ว 21%
พาณิชย์เตรียมประกันราคา
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ รักษาราชการแทน รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้เตรียมมาตรการดูแลราคาสินค้าเกษตรไว้ หลัง ครม.เข้ามาจะเสนอให้พิจารณาในหลักการและงบประมาณดำเนินการซึ่งจะทันในฤดูนาปีจะออก ต.ค.นี้ โดยจะใช้ รูปแบบการประกันราคาหรือวิธีการอื่น ๆ ก็ทำได้ และประเมินว่าผลกระทบจากภัยแล้งจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับสูงขึ้น หากสถานการณ์ยังคงเป็นอย่างนี้ มีโอกาสที่รัฐบาลจะไม่ต้องชดเชยราคาประกันให้เกษตรกร
ธ.ก.ส.งัดมาตรการรับมือภัยแล้ง
ด้านนายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ปีนี้ภัยแล้งค่อนข้างรุนแรงและลากยาว อาจทำให้พืชผลการเกษตรได้รับผลกระทบ ธ.ก.ส.ได้เตรียมมาตรการไว้รับมือแล้ว โดยมีด้วยกัน 3-4 มาตรการ ได้แก่ กรณีข้าวที่เป็นพืชหลัก
1.ช่วยเหลือด้านเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกรอบที่ 2
มาตรการที่ 2 จะใช้เงินกองทุนที่มีอยู่ใช้ช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนทันทีที่มีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้ง
3.เตรียมวงเงินไว้ 5,000 ล้านบาท เพื่อให้สินเชื่อฉุกเฉินเป็นค่าใช้จ่ายในการทำการผลิต โดยปลูกพืชระยะสั้นใช้น้ำน้อย รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท ดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันอยู่ที่ 7% ต่อปี) ระยะเวลาชำระคืน 15 ปี และ 4.ให้เกษตรกรที่ประสบภัยแล้งสามารถผัดผ่อน ขยายเวลาการชำระหนี้ได้ 12 เดือน ไม่เกิน 18 เดือน
2 ปัจจัยฉุดราคาข้าว
นายสมเกียรติกล่าวว่า แม้ภัยแล้งทำให้หลายพืชมีราคาเพิ่มขึ้น แต่สำหรับข้าวคาดการณ์ว่า เดือน ก.ค.นี้ ราคาจะปรับตัวลดลง ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% จะลดลงจากเดือนก่อน 0.21-0.60% อยู่ที่ 7,734 -7,751 บาท/ตัน จากผลกระทบ สงครามการค้าทำให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัว ประกอบกับคาดว่าฟิลิปปินส์จะลดความต้องการนำเข้าข้าวลง จากที่ได้นำเข้าข้าวจากเวียดนามสะสมในสต๊อกเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือก หอมมะลิราคาจะลดลงขึ้นจากเดือนก่อน 0.45-0.60% อยู่ที่ราคา 15,697-15,721 บาท/ตัน เนื่องจากราคาส่งออกของไทย มีแนวโน้มสูงกว่าคู่แข่งจากการที่เงินบาทที่แนวโน้มแข็งค่า ทำให้ลูกค้าหันไปซื้อข้าวหอมจากเวียดนามและกัมพูชาที่มีราคาถูกกว่า
จี้แก้ราคาเกษตรตกต่ำ
ด้านภาคเอกชนแสดงความเป็นห่วง ผลกระทบภาคเกษตร โดยนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บมจ. สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภครายใหญ่ แสดงความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จสิ่งที่รัฐบาลต้องทำเร่งด่วนคือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ
สอดคล้องกับนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งและค้าปลีกไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญ เรื่องราคาพืชผล ทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบ กับกำลังซื้อของเกษตรกรโดยตรง
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : ประชาชาติธุรกิจ 10 กรกฎาคม 2562