เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

ปัญหาทางออกของเศรษฐกิจไทย

ข่าววันที่ : 13 พ.ค. 2562


Share

tmp_20191305105645_1.jpg

วันที่ ปรับปรุง 13 พ.ค. 2562

          รศ.วิทยากร เชียงกูล
          อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนวัตกรรม
          มหาวิทยาลัยรังสิต

 

          ปาฐกถาของคุณวีรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง "เศรษฐกิจไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง" กล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทย 3 ข้อ คือ 1.ผลิตภาพ (Productivity) ต่ำ 2.การกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่เป็นธรรม 3.ภูมิต้านทานของระบบเศรษฐกิจยังเปราะบาง
          คำว่าผลิตภาพนั้น คำที่เข้าใจง่ายอีกคำคือ ประสิทธิภาพ วัดจากปริมาณ/มูลค่าผลผลิตที่ได้จากการใช้ปัจจัยการผลิต เช่น แรงงาน ตัวอย่างคือเอามูลค่าสินค้าเกษตรมาหารด้วยแรงงานเกษตร แล้วคิดเฉลี่ย ออกมาต่อหัว แล้วไปเทียบกันกับประเทศต่างๆ คุณวีรไทมองว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่มีผลิตภาพต่ำ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปสู่ ภาคการผลิตที่มีผลิตภาพสูงขึ้นได้
          โดยเฉพาะแรงงานภาคเกษตรซึ่งมีถึง 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด มีผลิตภาพต่ำที่สุด ข้อนี้จริง มองในแง่เปรียบเทียบผลผลิต ต่อไร่ของข้าวและอื่นๆ ของไทย ที่โดยเฉลี่ยยังต่ำกว่าบางประเทศ และเรายังสามารถลงทุน ด้านแหล่งน้ำ ปุ๋ย ฯลฯ พัฒนาการเกษตรของไทยให้มีผลิตภาพสูงขึ้นกว่าปัจจุบันได้ แต่การมองว่าแรงงานภาคเกษตรที่มาก เกินไปนี้ควรย้ายไปอยู่ภาคการผลิตที่มี ผลิตภาพสูงกว่า เช่น อุตสาหกรรมนั้นเป็นการมองแบบเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักมากเกินไป
          ถ้ามองผลิตภาพในแง่นี้ การให้บริษัทยักษ์ใหญ่และนายทุนการเกษตร ใช้เครื่องทุ่นแรงมาทำการเกษตรแทนเกษตรกรขนาดเล็ก ก็จะทำให้ผลิตภาพเกษตรกรไทยสูงขึ้น แต่การโยกย้ายเกษตรกรไปสู่ภาคอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยไม่มีปัญหาอื่น และก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เกษตรกรที่ไปเป็นคนงานมีผลิตภาพ สูงขึ้น มีรายได้สูงขึ้นเสมอไป ที่ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยมีผลิตภาพต่อหัวแรงงาน สูงกว่าภาคเกษตรนั้นเพราะโรงงานใช้ทุน เทคโนโลยีช่วยมาก และการกดค่าจ้างก็ยังคงดำรงอยู่ ถ้าเกษตรกรอยู่ไม่ได้ต้องตกงานไปหางานภาคอุตสาหกรรมกันมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งจะถูกกดค่าแรง
          เรื่องผลิตภาพ/ประสิทธิภาพ การเกษตรสามารถเพิ่มได้ด้วยการช่วยให้เกษตรกรขนาดเล็กมีความรู้ มีการจัดการเป็น ทำเกษตร อินทรีย์ เกษตรปลอดสาร ไร่นาส่วนผสม ฯลฯ ที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตและรายได้ราคาขึ้น น่าจะดีกว่าการมองแบบประเทศทุนนิยม พัฒนาอุตสาหกรรม ที่ใช้แรงงานเกษตรเพียง 5-10% นายทุนการเกษตรจำนวนน้อยก็สามารถผลิตได้มากมาย แต่มีปัญหาการว่างงานและความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางทรัพย์สินและรายได้มากขึ้น ปัญหาผลิตภาพการผลิตที่ต่ำของไทยรวมในภาคบริการและอุตสาหกรรมด้วยมาจาก 1.ปัญหาเรื่องการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมแรงงานที่คุณภาพ/ประสิทธิภาพต่ำ 2.การลงทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะภาคเอกชนในอุตสาหกรรมยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 และต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย และยังเป็นการลงทุนเพื่อทดแทนเครื่องจักรเก่าที่เสื่อมลง ไม่ได้สร้างผลิตภาพ เพิ่ม 3.กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการลงทุนและการทำธุรกิจมีจำนวนมากและล้าสมัย ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
          ทั้ง 3 ข้อนี้ ผมเห็นด้วย แต่ผมอยากเสนอเพิ่มเติมว่าส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลไทย ชอบคิดแบบง่ายๆ ว่าอยากให้ต่างประเทศมาลงทุนเยอะๆ และให้สิทธิพิเศษต่างๆ ง่ายเกินไป คนจึงมาลงทุนแบบหากำไรระยะสั้น รัฐบาลไม่ได้พยายามนำทางให้แรงจูงใจนักลงทุนให้ต้องลงทุนสร้างโรงงานที่มีนวัตกรรม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมในระยะยาว
          ปัญหาเชิงโครงสร้างข้อที่ 2 เรื่องความเหลื่อมล้ำของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง สินทรัพย์สูง เจ้าของทุนขนาดใหญ่ คุณวีรไท มองว่าส่วนหนึ่งมาจากภาครัฐขาดประสิทธิภาพและความสามารถที่จะทำหน้าที่จัดสรรอย่างเป็นธรรม อีกส่วนหนึ่งมาจากความเหลื่อมล้ำทางโอกาสที่ฝังตัวอยู่ในทุกระดับของภาคธุรกิจ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ได้เปรียบธุรกิจขนาดเล็ก (เช่น SMEs ในเมืองรอง) เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อนี้ผมเห็นด้วย และยินดีที่นักเศรษฐศาสตร์ภาครัฐมองเห็น ยอมรับปัญหานี้ เพียงแต่คุณวีรไทเสนอแต่ปัญหาไม่ได้ เสนอทางออกมากนัก เรื่องนี้พวกนักเศรษฐศาสตร์การเมือง นักเศรษฐศาสตร์ทางเลือกเสนอทางออกในเชิงปฏิบัติโครงสร้างการถือครองทรัพย์สินและระบบภาษีที่ก้าวหน้าที่เอาจริงเอาจังมากกว่า ผมเอง ก็เขียนบทความเสนอทางออกเรื่องนี้ไว้หลายครั้งแล้ว
          ปัญหาเชิงโครงสร้างข้อที่ 3 ที่ผู้ว่า แบงก์ชาติเสนอคือ ภูมิต้านทานของเศรษฐกิจไทยในระดับครัวเรือนถือว่าเปราะบางมาก หนี้ครัวเรือนมีปัญหาทั้งปริมาณและคุณภาพ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 77.8 สูง เมื่อเทียบกับประเทศที่รายได้ใกล้เคียงกับ ไทย สัดส่วนหนี้เสียก็อยู่ระดับสูง และยอดหนี้ ของคนไทยจำนวนมากไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะอายุ มากขึ้น "ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศแรกในโลกที่คนส่วนใหญ่จะแก่ก่อนรวย" ประโยคหลังนี้เป็นข้อสังเกตที่เด็ดมาก
          และนี่คือปัญหาใหญ่มากที่คุณวีรไท โยงว่าในสภาพที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งเรื่องคนจน คนสูงอายุที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งนโยบายประชานิยมเพื่อหวังผลการเมืองระยะสั้น รัฐบาลต้องทำงบประมาณขาดดุลต่อไปอีก ราว 12 ปี ภูมิต้านทานด้านการคลังของไทยจะต่ำลง ต้องให้ความสำคัญต่อประสิทธิภาพการใช้จ่ายของภาครัฐและการลดขนาดของภาครัฐ
          เรื่องนี้โยงกับปัญหาข้อ 2 และเป็นเรื่องที่นักวิชาการควรจะวิเคราะห์ วิจัย อภิปรายกันให้มากกว่านี้ เพราะพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ยังเน้นเรื่องประชานิยมที่ไม่ใช่การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
          ในส่วนท้ายผู้ว่าแบงก์ชาติเสนอว่า คนไทย ต้องร่วมกันมองให้ไกลและคิดร่วมกันอย่างจริงจังเพื่อเตรียมประเทศไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ทั้งในเรื่อง 1.เทคโนโลยีสารสนเทศที่จะทำให้การแข่งขันมาจากทั่วโลกและรุนแรงขึ้น 2.การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อนที่จะมีผลกระทบต่อภาคเกษตรกรและภาคอื่นๆ มาก 3.ความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ กลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะมีผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจโลกและไทย โดยคุณวีรไทเน้นว่าเราต้องเน้นการเพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของภาคเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคเกษตรและ SMEs (ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม) อย่างจริงจัง เพื่อทำให้รายได้คนไทยสูงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมเห็นว่าเขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ก้าวหน้ากว่าเพื่อนตรงที่เขาเสนอว่าควรเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
          ผู้ว่าแบงก์ชาติจบปาฐกถาด้วยข้อเสนอ ที่มองการณ์ไกลว่า สังคมที่คนระแวงแคลงใจกัน ไม่ไว้วางใจกัน ยากที่คนจะร่วมมือ กันเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศได้ดี ดังนั้นเราจึงต้องพยายามสร้างสังคมที่ส่งเสริม ให้คนไว้วางใจกันและกันมากขึ้น นี่คือ ข้อเสนอที่ดีมาก แต่โจทย์ใหญ่คือจะทำได้อย่างไร ผมคิดว่าต้องปฏิรูปทั้งเรื่องการเมือง การศึกษา ทำให้คนไทยมีความรู้ จิตสำนึกคิดอย่างใจกว้างและฉลาด มองการณ์ไกลเพื่อส่วนรวมมากกว่าขัดแย้งกัน 2 ขั้วอย่างสุดโต่ง ขณะเดียวกันก็ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจแบบกระจายทรัพย์สินและรายได้ การศึกษาและโอกาสการมีงานที่ดี ให้เป็นธรรมอย่างแท้จริง จึงจะสร้างความไว้วางใจและทำให้ประเทศไทยเดินหน้าอย่างเข้มแข็งพอที่จะแข่งขันกับคนอื่นได้
          "สัดส่วนหนี้เสียก็อยู่ระดับสูง และยอดหนี้ของคนไทย จำนวนมากไม่ได้ลดลง  แม้ว่าจะอายุมากขึ้น"

 

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก  :  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่  13 พฤษภาคม 2562