ตำแหน่งงานที่ไม่ถือว่าเป็นลูกจ้าง
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 14 มี.ค. 2562
เดชา กิตติวิทยานันท์
ปัจจุบันมีการว่าจ้างลูกจ้างให้ทำงานในตำแหน่งต่างๆ มากมาย บางกรณีไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายจ้าง กรณีดังกล่าวไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน รายละเอียดของคำพิพากษาฎีกาที่ผ่านมา
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548/2548 โจทก์เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลย มีหน้าที่ดูแลด้านการตลาด โจทก์ต้องมาทำงานทุกวัน บางวันหรือส่วนใหญ่จะอยู่ที่ไซต์งาน การดำเนินงานหรือการแก้ปัญหาตามปกติ โจทก์ทำได้เองโดยอิสระ เว้นแต่เรื่องใหญ่ๆ หรือมีจำนวนเงินสูงๆ หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ โจทก์ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมของกรรมการ หรือปรึกษา ส. กรรมการบริษัทจำเลยก่อน โจทก์ไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบหรือข้อบังคับในการทำงานของบริษัทจำเลย โจทก์จึงทำงานในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่ต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัทจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมา แม้โจทก์จะได้รับเงินเดือนจากจำเลย ก็ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 575 โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลย เมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัทจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินใดๆ ตามสัญญาจ้างแรงงานจากจำเลย
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2525 การที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและมีตำแหน่งเป็นกรรมการจัดการบริษัทจำเลยนั้น แม้โจทก์จะได้รับตำแหน่งด้วยการเลือกจากผู้ถือหุ้น และต้องอยู่ในตำแหน่งตามวาระที่กำหนดไว้ก็ตาม แต่ตำแหน่งของโจทก์คือผู้บริหารงานของบริษัท ซึ่งมีรายได้เป็นเงินเดือนหรือที่เรียกว่าค่าตอบแทนรายเดือนและโจทก์ก็ยังมีสิทธิและหน้าที่ในสวัสดิการของบริษัทเช่นเดียวกับพนักงานอื่นอีกด้วย ดังนั้น โจทก์จึงเป็นผู้ที่ได้ตกลงทำงานให้แก่บริษัทเพื่อรับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนรายเดือน อันนับได้ว่าเป็นลูกจ้างตามความหมายในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
การรอการจ่ายเงินประกันหรือเงินสะสมไว้ก่อน โดยคาดคะเนหรือสันนิษฐานว่าโจทก์และภรรยาอาจสมคบกันเบียดบังเงินของจำเลยไปทำให้จำเลยเสียหาย โดยที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นนั้น ไม่เป็นเหตุที่จะยก ขึ้นอ้างได้ หากจำเลยเสียหายจริงก็อาจไปว่ากล่าวกัน เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก จำเลยจึงต้องคืนเงินดังกล่าว ให้โจทก์
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8785/2550 โจทก์เป็นหนึ่งในผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทจำเลยและเป็นผู้ถือหุ้นมาตั้งแต่เริ่มบริษัทจำนวน 1.6 หมื่นหุ้น เป็นอันดับ 3 จากผู้ถือหุ้น 8 คน แต่ในปี 2544 ถือหุ้นจำนวน 4 หมื่นหุ้น เป็นอันดับ 1 และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมและประทับตราสำคัญของบริษัทตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 2536 ซึ่งเป็นวันเริ่มตั้งบริษัทจนถึงวันที่ 22 ม.ค. 2546 ต่อมาวันที่ 16 ม.ค. 2546 โจทก์ได้โอนหุ้นทั้งหมดให้แก่ ป. และ ก. โจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทจนถึงเดือน ม.ค. 2546 การบริหารงานของโจทก์ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับเกี่ยวกับการทำงาน จะมาทำงานในเวลาใดก็ได้ไม่ต้องบันทึกเวลาทำงาน โจทก์จึงมิใช่พนักงานที่ต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย การที่โจทก์ได้รับเงินเดือนจากจำเลยจึงมิใช่ได้รับในฐานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลย ส่วนการที่โจทก์บริหารงานภายใต้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นนั้นก็เป็นเพียงวิธีการครอบงำบริษัทจำกัดดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1144 เท่านั้น หาได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยอันมีลักษณะสำคัญประการหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้างของจำเลย
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5469/2555 โจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมายของจำเลย ในปีแรกโจทก์เข้าประชุมในฐานะเป็นทนายที่ปรึกษา ปีต่อมาเรียกตำแหน่งของโจทก์ว่า ที่ปรึกษากฎหมาย โจทก์มาทำงานเฉพาะวันเสาร์ ไม่มีกำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอน ไม่มีการบันทึกเวลาเข้าออกจากที่ทำงาน ไม่มีการกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดพักผ่อนประจำปี โจทก์ไม่อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับของพนักงานและลูกจ้าง เมื่อพิจารณาลักษณะการทำงานของโจทก์ ความมีอิสระในการทำงาน ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ใดอย่างแน่ชัด ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่ใช้แก่พนักงานและลูกจ้างทั่วไป ไม่ใช่ลูกจ้าง
ดังนั้น สัญญาจ้างควรจะเขียนให้ชัดเกี่ยวกับวันเวลาทำงานและวันหยุด มิฉะนั้นต้องมานั่งถกเถียงกันในชั้นศาล
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 14 มีนาคม 2562