3 ปีเข้าตลาด 78 บริษัท-ปัจจุบันเหนือจองแค่ 37% วิกฤติหุ้น 'ไอพีโอ" รูดต่ำจองอื้อ
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 11 ธ.ค. 2561
ทีมข่าว "กรุงเทพธุรกิจ" สำรวจหุ้นไอพีโอพบ 3 ปี เข้าจดทะเบียน 78 บริษัท เทรดวันแรกพุ่งเหนือจองเพียบ จากนั้นราคาทยอยร่วงต่อเนื่อง ล่าสุดพบ 49 บริษัทที่ราคาต่ำจอง คิดเป็น สัดส่วน 63% เผยไอพีโอปีนี้ "เอบีเอ็ม" รูดหนักสุด 46% ขณะที่ปี2560 หุ้น "อีทีอี" ดิ่งหนัก 72% ตะลึกช่วงขายไอพีโอพี/อีสูงลิ่ว 174 เท่า ด้านหุ้น ไอพีโอ ปี 59 "บีทีดับบลิว" ร่วงมากสุดราว 58% สะท้อนภาพนักลงทุนที่ถือยาวอ่วมหนัก หุ้นที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไป ครั้งแรก(ไอพีโอ) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มักได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน ส่วนหนึ่ง เพราะราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก มักปรับขึ้นร้อนแรง แต่น้อยคนที่สนใจดูว่า หลังจากนั้นราคาหุ้นเหล่านี้เคลื่อนไหวอย่างไร
ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจ ได้สำรวจราคาหุ้นที่ทำไอพีโอช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2559-เดือนพ.ย.2561) ไม่นับรวมหน่วย ลงทุนของกองรีทและกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน พบว่า ช่วงเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา มีหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดเอ็มเอไอรวม 78 บริษัท
ในจำนวนนี้พบว่า ส่วนใหญ่หรือราว 67 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 86% มีราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายในวันแรกสูงกว่าราคาจองซื้อ ส่วนอีก 11 บริษัท หรือ ราว 14% ราคาหุ้นที่ซื้อขายวันแรกลดลง ต่ำกว่าราคาจองซื้อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ราคาหุ้นไอพีโอเหล่านี้ค่อยๆ ปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ในจำนวนหุ้นไอพีโอทั้ง 78 บริษัท มีหุ้นที่ราคายังคงสูงกว่าราคาไอพีโอเพียงแค่ 29 บริษัทเท่านั้น หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 37% ขณะที่อีก 49 บริษัท ราคาหุ้นในปัจจุบันล้วนต่ำกว่าราคาที่เสนอขายไอพีโอ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 63%
โดยช่วง 10 เดือนแรกปีนี้มีหุ้นเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็มเอไอรวม 16 บริษัท ในจำนวนนี้มี 4 บริษัทที่ราคาซื้อขายวันแรกต่ำกว่าราคาจองซื้อ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 25% แต่ราคาล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2561 พบว่า ในจำนวนทั้ง 16 บริษัทนี้ มีสูงถึง 10 บริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาจองซื้อ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 62.5%
สำหรับหุ้นไอพีโอที่ปรับลดลงต่ำกว่าราคาจองซื้อมากสุดได้แก่ หุ้น บมจ.เอเชีย ไบโอแมส (ABM) โดยขาย ไอพีโอที่ 1.8 บาท มีอัตราส่วนราคาต่อ กำไรต่อหุ้น(พี/อี) ที่ 29.51 เท่า ซึ่งการซื้อขายวันแรกราคาปิดที่ 2.04 บาท สูงกว่าราคาจองซื้อ 13.33% แต่ล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2561 ราคาปิดที่ 0.97 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อถึง 46.11%
ส่วนปี 2560 พบว่า มีหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียน 38 บริษัท ในจำนวนนี้มีหุ้นที่ราคาซื้อขายวันแรกสูงกว่าราคาจองซื้อ 31 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 81.6% ที่เหลืออีก 7 บริษัท ราคาซื้อขาย วันแรกต่ำกว่าราคาจองซื้อ คิดเป็น 18.4% แต่จากการสำรวจราคาล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2561 พบว่า ในจำนวน 38 บริษัทนี้ มีหุ้นที่ราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาไอพีโอสูงถึง 23 บริษัท คิดเป็น 60.5% ส่วนอีก 15 บริษัทยังคงมีราคาสูงกว่าราคาจองซื้อ คิดเป็น 39.5%
โดยหุ้นไอพีโอปี 2560 ที่ราคาปัจจุบันลดลงมากสุด คือ บมจ.บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง(ETE) ขายไอพีโอ ที่ 4.2 บาท ค่าพี/อีสูงถึง 174.61 เท่า การซื้อขายวันแรกราคาหุ้นปิดตลาดที่ 5.75 บาท เพิ่มขึ้น 36.9% แต่ล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2561 ราคาลดลงมาอยู่ที่ 1.14 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อ 72.8%
สำหรับหุ้นไอพีโอที่เข้าจดทะเบียนปี 2559 รวม 24 บริษัท ซึ่งทุกบริษัทราคาซื้อขายวันแรกสูงกว่าราคาจองซื้อ แต่ราคาล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2561 พบว่า มีหุ้นที่ราคาซื้อขายต่ำกว่าราคา ไอพีโอ 16 บริษัท คิดเป็น 66.66% โดยหุ้น ที่ราคาปรับลดลงมากสุด คือ บมจ.บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์(BTW) ขายไอพีโอ 3.75 บาท พี/อี 8.36 เท่า โดยวันแรกปิดตลาด 5.7 บาท ขณะที่ราคาล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2561 ที่ 1.57 บาท คิดเป็น การลดลงจากราคาไอพีโอ 58.13%
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท หลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้าน ที่ปรึกษาทางการเงินการนำบริษัท เข้าจดทะเบียนเปิดเผยว่าราคาหุ้น ไอพีโอในช่วง3 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ที่ เริ่มต่ำกว่าราคาจองนั้น มองว่าส่วนหนึ่ง เป็นเพราะปีนี้ตลาดหุ้นโดยรวมมีความเปราะบางค่อนข้างมาก ขณะที่ปัจจัยสำคัญซึ่งทำให้ราคา ปรับตัวลดล งคือพื้นฐานหุ้นเหล่านั้น โดยหุ้นหลายตัวราคาต่ำกว่าราคาจองซื้อ ไอพีโอมักเป็นหุ้นที่การเติบโตไม่เป็นตามสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังไว้ เช่น คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตปีละ ประมาณ 30% แต่ออกมาจริงโตน้อยกว่าที่คาดไว้ เมื่อรวมกับภาวะตลาดที่มีความอ่อนไหวก็เลยทำให้เกิด แรงขายออกมาอย่างหนัก
ส่วนเรื่องการตั้งราคา ยอมรับว่า เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่อาจทำให้มีแรงขายออกมาได้ ถ้านักลงทุนเห็นว่าผิดจากการคาดหวัง แต่สาเหตุนี้อาจไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะการตั้ง ราคาส่วนใหญ่อิงกับภาวะตลาด และค่าพี/อีของกลุ่มอุตสาหกรรม หรือหุ้นที่ใกล้เคียงกัน
"หุ้นหลายตัวที่ต่ำกว่าราคาจอง มักเป็นหุ้นที่การเติบโตไม่เป็นไปตามคาด"
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 ธันวาคม 2561