เร่งหาปัจจัยบวก ดึงเศรษฐกิจขาลง
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 30 พ.ย. 2561
เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง
เร่งหาปัจจัยบวก ดึงศก.ขาลง
ช่วงนี้ถือเป็นโค้งสุดท้ายเศรษฐกิจ ปี 2561 ที่รัฐบาลต้องพยายามหา ปัจจัยบวกกลบปัจจัยเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากที่สุด
กระทรวงการคลัง การรายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค. 2561 พบว่า ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ขยายตัว 7.1% สูงสุดในรอบ 3 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 68.4 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือน ก่อนหน้าเล็กน้อย ซึ่งถือว่าสวนทาง กับภาษีที่เก็บได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ตัวเลขปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว 36% สูงสุดในรอบ 70 เดือน เนื่องจากยอดจำหน่ายรถกระบะ ขนาด 1 ตัน ขยายตัว 16.8% ด้านภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ขยายตัวใน ระดับสูง 14.9% และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศขยายตัว 13.8% สูงสุดในรอบ 65 เดือน ตามการขยายตัวของโครงการก่อสร้างพื้นฐานภาครัฐ
ขณะที่สถานการณ์การส่งออก กลับมาขยายตัว 8.7% โดยการ ส่งออกขยายตัวในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น CLMV ด้านการ ส่งออกไปยังสหรัฐและจีนกลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือน ก่อนหน้า "เศรษฐกิจภูมิภาค ในเดือน ต.ค. 2561"
กระทรวงการคลังยังสำรวจตัวเลขเศรษฐกิจภูมิภาคพบว่าขยายตัวต่อเนื่องในหลายภูมิภาค นำโดยภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน รวมถึง การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาค ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
จะเห็นว่า ปัจจัยบวกที่กระทรวงการคลังพยายามขนออกมากอบกู้สถานการณ์เศรษฐกิจ ที่มีสัญญาณชะลอตัวลงรุนแรง หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561 ลงเหลือ 4.2% จาก เดิม 4.4% เนื่องจากการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2561 ขยายตัวได้ 3.3% จากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว ได้ 4.6% และไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ 4.9%
แม้ว่าล่าสุดกระทรวงการคลัง ยังยืนยันคงประมาณการเศรษฐกิจ ปีนี้ไว้เท่าเดิม 4.5% แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะแข็งแกร่งจากการประมาณการก่อนหน้า แต่เมื่อดูไส้ในเศรษฐกิจจะพบว่า มีดัชนีสมมติฐานทางเศรษฐกิจเริ่มแผ่วและอ่อนตัวลงจากการประมาณการเดิมก่อนหน้า
ตั้งแต่เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น สงครามการค้าโลกขยายตัวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ เรื่องการเลือกตั้ง ทำให้เกิดสุญญากาศการทำงาน ของข้าราชการและการผลักดันเม็ด เงินลงทุน ล้วนแล้วแต่กระทบกับการขยายตัวเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น
เมื่อปัจจัยลบเศรษฐกิจมีมากขึ้น ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกที่จะต้องพยายามหาปัจจัยบวกให้มีมากกว่าปัจจัยลบ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจาก นักลงทุนไม่ให้ขวัญหนีย้ายเงินลงทุนออกนอกประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งการแจกสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย การตัดสินใจทำมาตรการช็อปช่วยชาติส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นการสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจให้มีความคึกคักมากขึ้น
โจทย์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เหลือในช่วงไม่ถึง 2 เดือนของปี จึงเป็นเรื่องการดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศไว้ให้มากที่สุด สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินสายเรียกความเชื่อมั่นทุกเวทีทุกงานด้านเศรษฐกิจ ว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ซึ่งการค้ำเศรษฐกิจไทย โดยพยายามหาปัจจัยบวกมากลบก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง แต่เป็นผลที่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะปัจจัยลบข้างหน้ายังมีเพิ่ม ไม่ว่าเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับประมาณการเศรษฐกิจของไทยลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ 4.4% การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ที่คงไว้ที่ 1.5% เป็นเวลานาน ล้วนแต่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลง
ถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเข้าโค้งสุดท้ายไม่สวยและมีความเสี่ยงที่จะไถลออกจากถนนเกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้นได้ตลอดเวลา เป้าหมายสำคัญคือการที่รัฐบาลต้องค้ำยันเศรษฐกิจทั้งปีให้ได้มากกว่า 4% โดยหวังว่า ปีหน้าจะได้ตั้งหลักเดินหน้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่าปีนี้
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สามารถค้ำเศรษฐกิจปีนี้ให้ขยายตัวได้มากกว่า 4% เหมือนกับที่สถาบันวิจัย
ทางเศรษฐกิจเริ่มประเมินว่ามีความเป็นไปได้ จะทำให้เศรษฐกิจปีหน้าของไทยมีความยากลำบากมากขึ้น
การขยายตัวได้มากกว่า 4% เป็น เรื่องยาก เพราะปัจจัยลบออก ผลกระทบเต็มที่ ปัจจัยบวกหรือชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เติมไม่เพียงพอที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจ
ที่สำคัญที่สุดการเลือกตั้งใหม่ ปีหน้า ยังเป็นทั้งปัจจัยลบและบวกกับเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ยังไม่สามารถชั่งได้ว่าจะส่งผลด้านไหนมากกว่า จนกว่าจะเห็นหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งยังเร็วก็ต้องรอถึงกลางปีหน้า ดังนั้นเศรษฐกิจไทยส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จึงดูไม่สดใสอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 หน้า V1