สงครามการค้า-ดอกเบี้ย-น้ำมันขาขึ้น ส่อกระทบ 'จีดีพี' โลกป่วนฉุด 'ศก.ไทยป่วย'
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 22 ต.ค. 2561
โลกป่วน 5 ปัจจัยเสี่ยง สงครามการค้า เฟดขึ้นดอกเบี้ย น้ำมันดิบโลกทะยาน ภัยไซเบอร์ ความตึงเครียดสหรัฐ-ซาอุฯ ส่อฉุดเศรษฐกิจไทยปลายปีนี้ถึงปีหน้าแผ่ว "สมคิด"สั่งพึ่งดีมานด์ในประเทศ เบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ เตรียมออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปีนี้ ขณะนักเศรษฐศาสตร์ห่วงโลก ผันผวน กระทบจีดีพีไทย
สถานการณ์โลกทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ที่อยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย จากปัจจัยหลักๆ คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งยังหาทางออกร่วมกันไม่ได้ ปัญหาตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ และซาอุดีอาระเบีย ที่มีสาเหตุมาจากการหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำของนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าว และคอลัมนิสต์ ชาวซาอุดีอาระเบีย อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และปัญหาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐ
ที่กล่าวมาทั้ง 4 เรื่องล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พร้อมจะกดดันให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยให้ชะลอตัวลงตั้งแต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และสหรัฐกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ล่าสุด สงครามการค้าพ่นพิษใส่เศรษฐกิจจีนให้เห็นเป็น รูปธรรมแล้ว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน รายงานว่า เศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสองของโลกขยายตัว 6.5% ในเดือน ก.ค.-ก.ย. เมื่อเทียบรายปี ลดลงจาก 6.8% และ 6.7% ในไตรมาสแรกและไตรมาสสอง ตามลำดับ แต่ถือว่าเป็นไปตามเป้าการเติบโตที่ คณะผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของจีน คาดการณ์ไว้ที่ 6.5% ในปีนี้
ขณะที่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตลอดทั้งปีนี้จะขึ้นดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งด้วยกัน และเมื่อถึงสิ้นปีนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะอยู่ที่ 2.25-2.50% สูงกว่าดอกเบี้ยของไทยถึง 0.75-1% ทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออก โดยช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เงินทุนไหลออกจากไทยไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไหวในแดนบวก ต่อเนื่อง จากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของรัฐบาลสหรัฐที่ประกาศใช้มาแล้ว และวันที่ 4 พ.ย.ที่จะถึงนี้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ได้ขีดเส้นตายให้ประเทศต่างๆ หยุดซื้อ หรือนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่อยากถูกสหรัฐคว่ำบาตร
ด้านความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และซาอุดีอาระเบีย จากกรณีการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวและคอลัมนิสต์ชื่อดังชาวซาอุดีอาระเบียหลังจากเขาเข้าไปในสถานกงสุลซาอุฯในนครอิสตันบูลซึ่งเรื่องนี้ ทำให้นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ตัดสินใจบอยคอต ด้วยการไม่เข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจที่ กรุงริยาด ระหว่างวันที่ 23-25 ต.ค.นี้
รัฐเร่งรับมือเศรษฐกิจโลกขาลง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ ต้องจับตาสถานการณ์ภายนอกซึ่งเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขาลงโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและความเชื่อมั่นที่ถดถอยจากปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีนเอง โดยการเตรียมรับมือสถานการณ์นี้ต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศ ตั้งแต่การเบิกจ่ายภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจรวมถึง การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนต้องทำให้ต่อเนื่อง
สำหรับการลงทุนภาครัฐได้กำชับว่าทุกโครงการต้องไม่ช้ากว่ากำหนด โดยเมื่อประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาลรักษาการซึ่งจะ ไม่อนุมัติโครงการใหม่ที่มีวงเงินสูงแต่โครงการที่อนุมัติไปแล้วจะต้องเดินหน้าลงทุน
"ผมทำรายชื่อโครงการสำคัญที่ต้องเร่งรัด ส่งให้นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคมแล้ว โดยเฉพาะโครงการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ต้องลงทุนให้ได้ตามแผน"
ส่วนการลงทุนรัฐวิสากิจได้กำชับให้ทำตามแผน เช่นการจัดหาเครื่องบินของการบินไทยขณะที่การลงทุนของเอกชนรายใหญ่ได้หารือกับผู้บริหารบริษัทใหญ่ เช่นกลุ่มปตท. เอสซีจี ให้ลงทุนตามแผนที่วางไว้
นายสมคิด กล่าวว่า เรื่องการท่องเที่ยวได้เตรียมมาตรการกระตุ้นช่วงปลายปีทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศเพื่อรักษาระดับไม่ให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดต่ำลงเพราะ รายได้จากท่องเที่ยวมีสัดส่วนสูงต่อจีดีพี
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาใกล้ชิดคือราคาน้ำมัน เพราะปีนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นมาอยู่ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปีก่อนที่อยู่ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งได้ตกลงกับ ปตท. และกระทรวงพลังงานให้ดูแลราคาในประเทศกรณีราคาตลาดโลกสูงขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบผู้มีรายได้น้อยโดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีความสามารถตรึงราคาได้ถึง1ปี แต่จะไม่ให้ กองทุนติดลบมากเหมือนอดีต รวมทั้งดูแลก๊าซหุงต้มไม่ให้สูงขึ้น
"เวิลด์แบงก์"ห่วงศก.โลกกระทบไทย
ด้านนายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศไทยกลุ่มธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้นทั้งเรื่องสงครามการค้า และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลง และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งธนาคารโลกประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะโตลดลงเหลือ 3.9%
"ความไม่แน่นอนเหล่านี้ อาจทำให้เกิดเงินไหลออกในประเทศอาเซียนและประเทศเกิดใหม่ต่างๆ ได้ ดังนั้นจากความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ไทยอาจต้องกลับมาพึ่งพาในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา เริ่มเห็นการขับเคลื่อนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดี" ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ภายใต้ ความผันผวนดังกล่าวอีกคือ ต้องหาแหล่งส่งออกและบริการใหม่ๆ ในประเทศเกิดใหม่ และประเทศอาเซียน แทนหวังส่งออกไปประเทศ หลักๆ เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจหลักๆ ปีหน้า คือการลงทุนภาครัฐ การลงทุนเอกชน การลงทุนในคมนาคม รถไฟฟ้า ที่จะกลับมาหนุนภาพเศรษฐกิจไทยปีหน้าให้เติบโตดีขึ้น กระจายตัวขึ้น
ส่วนนายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีหน้าของสำนักวิจัยส่วนใหญ่ เชื่อว่าได้รวมผลของความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกไปแล้วราว 70-80% เช่น ผลกระทบจากสงครามการค้า เพียงแต่ยังมีประเด็นอื่นที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้อยู่อีกพอสมควร จึงยังเป็นเรื่องที่ต้องตามดูต่อเนื่อง เพราะอาจกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่มากกว่าคาดได้
"เรื่องสงครามการค้าซึ่งทำให้ ไอเอ็มเอฟ ปรับลดจีดีพีโลกปีหน้า หรือดับบลิวทีโอที่ลดคาดการณ์การค้าโลกลงพวกนี้ ส่วนใหญ่ประเมินไว้แล้ว แต่ยังมีบางประเด็นที่ต้องติดตามเพราะเรื่องยังไม่จบ เช่น เรื่องเบร็กซิท หรือแม้แต่เศรษฐกิจจีนว่าจะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ สถานการณ์เหล่านี้ยังมีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง"
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ไว้ที่ 4.6% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 4.2-4.3% ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจปีหน้ายังคงต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง
ธปท.ห่วงท่องเที่ยวฉุดเศรษฐกิจไทย
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ประเมินภาพเศรษฐกิจโลกในปีหน้าไว้ว่ามีแนวโน้มชะลอลง สอดคล้องกับประเมินของไอเอ็มเอฟ โดยสาเหตุที่ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลง มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการชะลอตัวของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ธปท. ประเมินว่า จะขยายตัวราว 4.2% ชะลอลง จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 4.4% โดยส่วนหนึ่ง จากภาคต่างประเทศที่อ่อนลง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศเชื่อว่ายังทรงตัว โดยตัวที่ ธปท. ประเมินว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง คือ ภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามหากปัญหาต่างๆ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวต่ำคาด ก็อาจมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าได้เช่นกัน
'สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด'กังวลภาคท่องเที่ยว
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวเริ่มเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากขึ้น หลังจากเกิดปัญหาขึ้นกับ นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งล่าสุดยังไม่เห็นนักท่องเที่ยว กลุ่มนี้เริ่มจองแพคเกจท่องเที่ยวในไทย ซึ่งประเด็นนี้มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย พอสมควร เพราะปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวคิดเป็น 1 ใน 5 ของสัดส่วนจีดีพีไทย ขณะที่ นักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนสูงถึง 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด
ส่วนปัจจัยต่างประเทศก็มีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจัยที่มีผลต่อตลาดเงินตลาดทุนไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า หลักๆ มาจาก การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ และเบร็กซิท ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามดูอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 2561