ชาวโคกกระเทียมเลี้ยงกบนาหารายได้สู่ครัวเรือน
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 22 ต.ค. 2561
กฤษณพงศ์ อยู่รอด รายงาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายการพัฒนาภาคการเกษตรด้วยการเน้นที่คนเป็นสำคัญ พร้อมกับส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ และนวัตกรรมด้านเกษตรที่จะเป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้ไปปรับใช้ได้จริงในพื้นที่ของตนเอง เพื่อให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพให้กับเกษตรกรในทุกมิติ สามารถพึ่งพาตนเองได้ สร้างความเข้มแข็งให้ระดับฐานรากในระบบเกษตรกรรมของประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่จะสามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเป็นการวางรากฐานการพัฒนาการเกษตรในระยะยาว
นายพิเชษฐ์ เทียนก้อน ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงกบนา หมู่ที่ 2 ต.โคกกะเทียม อ.เมืองลพบุรี เริ่มเลี้ยงกบนา จากโครงการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อย ที่นายชูชีพ อุทะโก เกษตรอ.เมืองลพบุรี และนายสิทธิศักดิ์ ทับทิมเมือง ประมงอ.เมืองลพบุรี จัดวิทยากรมาอบรม และคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด จึงรวมกลุ่ม 25 คน ไปกู้เงินจาก ธ.ก.ส. มาเป็นทุนสร้างโรงเรือน วางระบบต่าง ๆ และซื้อพันธุ์กบมา 6 พันตัว จากจ.สุพรรณบุรีในราคาตัวละ 1.50 บาท
นายพิเชษฐ์ เล่าให้ฟังว่า การเตรียมคอกเลี้ยง เราจะเตรียมคอกขนาด 4 x 12 เมตร ใช้ตาข่ายสูงประมาณ 1.20 เมตร ขึงโดยรอบ ภายในบริเวณคอกสร้างเลียนแบบธรรมชาติให้มากที่สุด มีบ่อน้ำ ต้นไม้ หลุม ก้อนหิน หรือวัสดุที่กบสามารถใช้เป็นที่หลบภัยได้มาใส่ไว้ ส่วนหลังคาใช้ผ้าพลาสติกกั้นเพื่อลดความเข้มของแสงให้กับกบ และต้องคัดแยกกบที่ตัวเล็กออกมาไว้อีกคอก เพราะจะกินอาหารไม่ทันกบที่ตัวใหญ่กว่า พร้อมกันนี้ต้องถ่ายน้ำที่อยู่ในบ่อทุกวันน้ำจะได้ไม่เสีย โดยใช้สารอีเอ็มกำจัดกลิ่นซึ่งไม่ส่งผลกระทบกับกบ ทำให้กบเจริญเติบโตเร็ว ลดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร
เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการซื้อลูกกบ สมาชิกได้ปรึกษากันมีแนวคิดว่าจะเลี้ยงแบบครบวงจร คือเพาะพันธุ์ลูกกบเอง ด้วยการจัดทำบ่อใหม่ที่มีน้ำใส มีวัสดุให้กบวางไข่ โดยคัดแยกพ่อ-แม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ ด้วยการสังเกตพ่อพันธุ์กบ จะมีข้างตัวลื่นใต้คางมีกล่องเสียงที่สมบูรณ์ ขณะที่แม่พันธุ์นั้นที่สมบูรณ์สังเกตด้านข้างตัวกบจะสากในช่วงพร้อมผสมพันธุ์ เหตุที่สีข้างสากเพื่อไม่ให้กบตัวผู้ลื่นหลุดขณะเกาะหลังตอนผสมพันธุ์ สำหรับอายุกบที่เหมาะนำมาผสมพันธุ์นั้นจะอยู่ในช่วงอายุ 5 - 6 เดือน ส่วนพ่อ-แม่พันธุ์จะใช้ได้ 2 - 3 ปี แล้วต้องระบายออกเป็นการป้องกันภาวะเลือดชิด
ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 3 เดือน ก็สามารถนำไปจำหน่ายได้ ปัจจุบันจะจำหน่ายได้ในราคาประมาณกิโลกรัมละ 100 บาท (กบ 3-4 ตัว) ส่วนการจำหน่ายลูกกบนั้นจะขายหลังจากที่ออกมาได้ประมาณ 35 วัน ในราคาตัวละ 1-1.5 บาท อยู่ที่ความต้องการของตลาดในแต่ละช่วง ทำให้มีกำไรสร้างรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกร เงินที่ได้จะได้แบ่งให้กับสมาชิก แต่ต้องหักจากทุนที่กู้มาจาก ธ.ก.ส.ก่อนคิดเป็นร้อยละ 20 ที่เหลือก็จะแบ่งให้กับสมาชิกที่จะได้นำไปเป็นทุนในการเลี้ยงรุ่นต่อไป และใช้ในการปรับปรุงโรงเรือน นอกจากนี้ยังเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับกลุ่มเกษตรกรต่าง ๆ ที่สนใจได้มาศึกษาดูงาน รวมทั้งเกษตรกรที่เป็นสมาชิกก็นำความรู้ประสบการณ์ไปสร้างบ่อกบเลี้ยงส่วนตัว ทำให้เกษตรกรมีรายได้เข้าสู่ครัวเรือนและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในตำบลที่ได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 23 ต.ค. 2561