แก้วิกฤตรัฐวิสาหกิจอืด สะเทือนแรงขับเคลื่อน ศก.
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 17 ก.ย. 2561
เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง
รัฐวิสาหกิจถือเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะรัฐวิสาหกิจมีทรัพย์สินรวมกันสูงถึง 14 ล้านล้านบาท มีรายได้ 5 ล้านล้านบาท มีรายจ่าย 4.7 ล้านล้านบาท และส่งรายได้ให้กับประเทศ ปีละกว่า 1 แสนบาท ซึ่งหากการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจทำได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุน ก็จะทำให้เสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มาก
อย่างไรก็ตาม รัฐวิสาหกิจของไทยจำนวนไม่น้อยมีฐานะการเงินไม่ดี ซึ่งมาจากสภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงและปรับตัวแข่งขันไม่ทัน รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหา ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงฝ่ายปฏิบัติ ทำให้รัฐวิสาหกิตแทนที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากกว่านี้ กลายเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
นับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศ ได้สั่งให้รัฐวิสาหกิจที่สำคัญถึง 7 แห่ง เข้าสู่การทำแผนฟื้นฟู เพื่อให้ฐานะการดำเนินงานและการเงินมีความ เข้มแข็งไม่สร้างภาระภาษีให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี มีรัฐวิสาหกิจเพียง 1 แห่งเท่านั้น ที่ได้จากการออกแผนฟื้นฟูคือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ทั้งที่ต้องเข้าแผนฟื้นฟูด้วยอาการดูสาหัสกว่าแห่งอื่นๆ มากที่สุด ด้วยภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงกว่า 50% ฐานะเงินกองทุนติดลบ แต่สุดท้ายก็แก้ปัญหาออกจากแผนฟื้นฟูมาได้อย่างที่หักปากกาเซียนไปจำนวนไม่น้อย
สำหรับรัฐวิสาหกิจอีก 6 แห่งที่มีปัญหาออกจากแผนฟื้นฟูไม่ได้ ทุกแห่งยังอาการน่าเป็นห่วง เพราะการแก้ไขและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเป็นไปอย่างล่าช้า
ล่าสุดการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ล่าสุดที่นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาและรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 6 แห่ง แม้ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาการต่อต้านกับพนักงาน สหภาพแรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า
ที่เห็นได้ชัดว่ามีการฟื้นฟูที่ล่าช้าและเป็นประเด็นร้อนคือบริษัท การบินไทย ที่ คนร.ได้มอบหมายให้บริษัท การบินไทย เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อให้เป็นสายการบินนานาชาติระดับพรีเมียมให้ได้ตามเป้าหมาย และมีผลประกอบการและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมทั้งให้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานในภาครัฐและหน่วยงานเอกชน เพื่อสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ด้านการขนส่งทางอากาศยานในภูมิภาคและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม หัวใจของการแก้ปัญหาของบริษัท การบินไทย คือ การซื้อเครื่องบินใหม่จำนวน 23 ลำ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้ทบทวนถึงรายได้รายจ่ายที่ได้จากการซื้อฝูงบินใหม่ให้เกิดความชัดเจน ทำให้การฟื้นฟูของบริษัท การบินไทย ล่าช้าออกไปยังปฏิเสธไม่ได้
สำหรับรัฐวิสาหกิจแห่งที่ 2 และ 3 ที่ยังออกจากแผนฟื้นฟู ไม่ได้ คือ บริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม เนื่องจากมีธุรกิจที่ซ้ำซ้อนกัน การเปลี่ยนทางธุรกิจจากที่เคยเป็นผู้สัมปทานเครือข่ายโทรศัพท์ ซึ่งตอนหลังไปอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทำให้ทั้งสองแห่งไม่มีรายได้จากค่าสัมปทานอีกต่อไป
ทั้งนี้ คนร.รับทราบข้อเสนอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการควบรวมกิจการของบริษัท ทีโอที และบริษัท กสทฯ และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมการรวมกิจการของบริษัท ทีโอที และบริษัท กสทฯ โดยมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ทีโอที และบริษัท กสทฯ จัดทำรายละเอียดในการควบรวมกิจการให้เสร็จภายในเดือน พ.ย. 2561 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ
ขณะที่รัฐวิสาหกิจแห่งที่ 4 ที่การฟื้นฟูฐานะยังมีปัญหาล่าช้า ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดย คนร.ให้ ขสมก. เร่งจัดหารถโดยสาร 3,183 คัน โดยด่วน หลังจากมีปัญหาการประมูลทำให้เกิดความล่าช้า เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการประชาชนโดยพิจารณาประเภทเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และมอบหมายให้กำหนดเส้นทางการเดินรถให้สะดวกกับประชาชนและศึกษาราคาค่าบริการมาตรฐานสำหรับขนส่งมวลชนแต่ละประเภท ในราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรม
สำหรับรัฐวิสาหกิจรายที่ 5 ที่การดำเนินกิจการยังไม่ดีขึ้นและไม่เห็นแนวทางจะได้ออกจากแผนฟื้นฟู ก็คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่เป็นหน่วยงานสำคัญ การดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่สำคัญได้เป็นไปตามแผนงาน ทั้งนี้ คนร.ได้มอบหมายให้ รฟท. เร่งดำเนินการต่างๆ เช่น บริหารจัดการทรัพย์สินของ รฟท. และการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการต่อไป
สุดท้ายรัฐวิสาหกิจรายที่ 6 คือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ซึ่งพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้แล้ว และจะทยอยเพิ่มทุนได้ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2561 ซึ่ง ธอท.มีผลประกอบการในช่วง 8 เดือน เป็นกำไรสุทธิทั้งสิ้น 811 ล้านบาท ทั้งนี้ คนร.ได้มอบหมายให้ ธอท. เร่งดำเนินการฟื้นฟูกิจการให้ธนาคารมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) รวมทั้งขยายฐานลูกค้ามุสลิมให้เพิ่มขึ้นตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและการนำเทคโนโลยีมายกระดับการดำเนินงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมธนาคารในปัจจุบัน หลังจากที่ต้องใช้เงินถึง 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อกอบกู้สถานะของแบงก์แห่งนี้ให้เดินกลับมาได้
นอกจากปัญหารัฐวิสาหกิจหลายแห่งฟื้นฟูกิจการได้ล่าช้าแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องการออกกฎหมายกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจภาพรวมทั้งหมดให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดการถูกแทรกแซง
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ... ยังค้างการพิจารณาอยู่ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ (ซูเปอร์โฮลดิ้ง) ที่จะทำหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัดแล้ว 12 แห่ง ซึ่งถือครองทรัพย์สินเกินครึ่งของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 14 ล้านล้านบาท เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้มีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์และสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้
อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการรัฐวิสาหกิจฯ ถูกจับตามองไปที่เรื่องการตั้งซูเปอร์โฮลดิ้งมากที่สุด เพราะหากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัท ปตท. บริษัท การบินไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย บริษัท อสมท ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น สำหรับรัฐวิสาหกิจที่แปลงสภาพแล้ว เช่น บริษัท ทีโอที บริษัท กสท โทรคมนาคม บริษัท ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น
มีการประเมินเบื้องต้นว่ารัฐวิสาหกิจทั้ง 12 แห่ง ที่จะมาอยู่ในซูเปอร์โฮลดิ้ง มีทรัพย์สินรวมกัน ไม่น้อยกว่า 10 ล้านล้านบาท หรือ 2 ใน 3 ของทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจทั้งหมด คุมเม็ดเงินการลงทุนของรัฐวิสาหกิจกว่า 80-90% ของการลงทุนรัฐวิสาหกิจในแต่ละปี ดังนั้นการตั้งซูเปอร์โฮลดิ้งคุมรัฐวิสาหกิจทั้ง 12 แห่ง ถือเป็นการคุมรัฐวิสาหกิจได้เกือบทั้งหมดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การเดินหน้ารัฐวิสาหกิจเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การตั้งซูเปอร์ โฮลดิ้ง ถูกโจมตีว่าเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทางอ้อม ทำให้การเดินหน้ากฎหมายชะงัก ทั้งที่การตั้งซูเปอร์โฮลดิ้งรัฐวิสาหกิจเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการออกกฎหมายเท่านั้น ทั้งหมดทำให้เห็นว่าการฟื้นฟูเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจล่าช้าทั้งระดับองค์กรและภาพรวมของการออกกฎหมาย ทำให้เศรษฐกิจไทยเสียโอกาสจากการขับเคลื่อนของรัฐวิสาหกิจที่ทำได้ไม่เป็นประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 17 กันยายน 2561