เพิ่มผลิตภาพในการทำงานด้วยการจัดวางออฟฟิศ
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 26 มี.ค. 2561
ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า
www.econ.nida.ac.th;piriya.pholphirul.blogspot.com
วันนี้ผมมีโอกาสได้เข้าเมือง (ต่าง จากปกติที่มักอยู่แถวทุ่งบางกะปิ) มาบรรยายที่บริษัท Deloitte (Thailand) ตรงถนนสาทร ทำให้มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาและตื่นตาตื่นใจไปกับการจัด วางออฟฟิสสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่าง จากออฟฟิสในแบบเดิมๆ โดยเฉพาะกับแบบราชการที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างมาก การจัดวางออฟฟิศเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งต่อการเพิ่ม (หรือลด) ผลิตภาพในการทำงาน เนื่องจากพนักงานมักถูกคาดหวังว่าต้องทุ่มเทกับการทำงาน พนักงานส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้เวลาที่ออฟฟิศมากกว่าที่บ้าน ดังนั้นการจัดวางออฟฟิศให้น่าอยู่ และน่าทำงานจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ในระบบเศรษฐกิจแบบเดิม การจัดวางออฟฟิศส่วนใหญ่จะจัดในลักษณะของแบบคอกปิด (Closed Cubical) ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของการใช้พื้นที่ให้มีประโยชน์สูงสุด และยังเป็นการสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับพนักงาน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการทำงานในปัจจุบันที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์จากคนรุ่นใหม่ รวมถึงการทำงานเป็นทีม การจัดออฟฟิศสมัยใหม่จึงเป็นลักษณะของการเปิดพื้นที่มากขึ้น (Open Plan) โดยการมีโต๊ะประชุมใหญ่ๆ เป็นหลัก มีมุมพักผ่อนและมุมที่พนักงานจะสังสรรค์กันเพิ่มขึ้น มีไว-ไฟความเร็วสูง (มาก)
นอกจากนี้ ยังเลือกที่จะใช้สีสันในการตกแต่งมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งสีแต่ละสีเองก็ส่งผลทางด้านจิตวิทยาที่แตกต่างกัน (เช่น สีฟ้าช่วยเพิ่มความสงบใจ สีเขียวเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ สีแดงเพิ่มพลังในการทำงาน สีน้ำตาลเพิ่มความขี้เกียจ หรือสีชมพูช่วยลดความก้าวร้าว เป็นต้น) ในขณะที่หัวหน้างานก็จะเลือกจัดออฟฟิศแบบเข้าถึงง่าย เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานการทำงาน ในขณะที่หัวหน้างานเองก็ง่ายต่อการสอดส่องดูแลพนักงาน
จริงๆ แล้วการจัดแบบ Open Plan นี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่มีความเป็นส่วนตัว การไม่มีสมาธิในการทำงานบางประเภท (ที่ต้องการสมาธิเป็นหลัก) รวมไปถึงปัญหาในด้านการรักษาความลับทางการค้าและสัญญาการค้าต่างๆ เป็นต้น
จากการสำรวจของบริษัท Dale Office Inter พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของคนที่ตอบแบบสอบถามระบุว่า การจัดวางออฟฟิศที่มีส่วนผสมของทั้งสถานที่ทำงานและสถานที่พักผ่อนจะมีส่วนสำคัญต่อการลดความเครียดจากงานสร้างความยืดหยุ่นจากการทำงานในแต่ละประเภท และยังช่วยเพิ่มผลิตภาพในการทำงาน
นอกจากนี้ ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ส่งผลให้ลักษณะของงานเกิดการเปลี่ยนแปลง อันทำให้เกิดลักษณะของออฟฟิศสำหรับอนาคต (Office in the Future) ขึ้นโดยมีลักษณะดังนี้
1.การทำงานระยะไกลจะมีโอกาสเกิดมากขึ้น โดยจากการศึกษาของ Fuze Research พบว่าประมาณ ร้อยละ 83 ของคนงาน ไม่คิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานอยู่ที่ออฟฟิศตลอดเวลา ในขณะที่ประมาณร้อยละ 38 ระบุว่า เขาเหล่านั้นชอบในการทำงานระยะไกล (Remote Work) มากกว่า
2.ด้วยแนวโน้มของงานที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ออฟฟิศในลักษะทางกายภาพมีแนวโน้มลดลง และถูกเปลี่ยนเป็นแบบการใช้ออฟฟิศร่วมกัน (Collaborative Office Space) มากขึ้น
3.การทำงานในโต๊ะประจำ เดิมๆ จะเริ่มหมดไป ในขณะที่การทำงานในลักษณะของโต๊ะประชุมหรือการทำงานในร้านกาแฟจะมีโอกาสเกิดขึ้นมาก
4.ชั่วโมงการทำงานแบบจาก 9 โมงถึง 5 โมงเย็น จะเริ่มหายไป แต่จะเป็นการทำงานในลักษณะของ 7 วัน 24 ชั่วโมง หรือเป็นลักษณะของงานที่จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ดังนั้น การจัดวางออฟฟิศที่ เหมาะสมจึงควรเน้นไปที่ "ความหลากหลาย" สำหรับพนักงานที่ทำงานในแต่ละประเภท และที่มีสไตล์การทำงานที่หลากหลาย เช่น อาจมีทั้งแบบคอกสำหรับพนักงานที่ต้องการความสงบ มีแบบโต๊ะใหญ่เปิดสำหรับพนักงานที่ต้องทำงานเป็นทีม มีแบบห้องสำหรับงานที่ต้องการประชุม มีแบบนอนทำงานสำหรับงานที่ต้องการไอเดียใหม่ๆ เป็นต้น
โดยไม่จำเป็นที่พนักงานจะต้องนั่งทำงานที่โต๊ะเดิมๆ ของตัวเอง แต่สามารถปรับเปลี่ยนโต๊ะทำงานได้ตามความต้องการ รวมไปถึงมีมุมตรงกลางที่จะให้พนักงานได้พักผ่อน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเครียดจากการทำงาน ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ลดความน่าเบื่อจากการทำงาน พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ลดอัตราการลาออกจากงานได้
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 26 มีนาคม 2561