ความต่างที่เสริมกัน Gen X & Gen Y
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 28 ก.พ. 2561
วิธพล เจาะจิตต์
ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
ผมเคยเล่าถึงความหลากหลายของแต่ละเจนเนอเรชั่น (Generation) ซึ่งมีความเหมือนหรือแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่มนุษย์ทุกยุคสมัยต้องการเหมือนกันคือ ความปลอดภัยและความมั่นคง ต่างกันเพียงรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและปัจจัยแวดล้อมทางเทคโนโลยีและสังคม
ในวันนี้ผมจะพูดถึง "ความต่างที่เสริมกัน" ระหว่าง Generation Y และ X แป็นแนวทางให้แต่ละองค์กรลองนำไปปรับใช้และบริหารจัดการตามสถานการณ์ครับ
Gen Y เก่งในการปะติดปะต่อข้อมูล Gen X อดทนต่อการเผชิญปัญหาได้ดี
คนที่เกิดในยุค Gen Y เติบโต มาพร้อมกับยุคข้อมูลข่าวสาร จึงได้พบเห็น/บริโภคข้อมูลที่หลากหลาย เห็นมุมมองที่กว้าง และเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องได้มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Gen X ซึ่งมีโฟกัสและต้องการข้อมูลที่ครบถ้วน (จริงๆ แล้วเกือบทุกสถานการณ์มักจะมีข้อมูล ไม่ครบ) บางครั้งจึงทำให้ Gen X ตัดสินใจช้า เราจึงอาจใช้ประโยชน์จากความต่างนี้โดยให้ Gen Y วิเคราะห์รูปแบบของสถานการณ์หรือ Scenario แล้วร่วมกันคิดกับ Gen X เพื่อหา Scenario ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดจะทำให้ได้แนวคิดกว้างขวางกว่า
ขณะเดียวกัน Gen X ก็สามารถช่วย ประคับประคองน้อง Gen Y ซึ่งอาจมีความอดทน ต่อปัญหาน้อยกว่าด้วยการชี้ให้เห็นว่าในทุก ปัญหามีโอกาสให้เรียนรู้ ทุกข้อขัดแย้งมีโอกาส ให้ทำความเข้าใจ ทุกอุปสรรคย่อมนำมาซึ่งประสบการณ์ ช่วยให้น้อง Gen Y ได้มองเห็น คุณค่าของความยากลำบากที่เกิดขึ้น ในทาง กลับกัน Gen X ซึ่งบางครั้งก็อยู่กับปัญหา มากเกินไปจะได้รับแรงกระตุ้นจาก Gen Y ให้มองปัญหาอย่างลึกซึ้งกว่าเดิมว่าอะไรควร แก้ไข และอะไรที่ไม่ควรอดทนอยู่กับมัน
Gen Y มีความยืดหยุ่นในการทำงาน Gen X มีระบบแบบแผนในการวางแผน
คนยุค Gen Y จะมีความยืดหยุ่น ในการทำงาน โดยเฉพาะความสามารถในการปฏิบัติงานในต่างประเทศ (Global Mobility) Gen Y จะถูกกระตุ้นด้วยสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้ดี และมักยินดีรับความท้าทายในการทำงานใน Geography ใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ พี่ Gen X ซึ่งในปัจจุบันด้วยอายุแล้วน่าจะอยู่ในระดับบริหาร ก็ควรเปิดโอกาสให้น้อง Gen Y ได้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ให้กับองค์กรมากกว่าการเน้นระบบอาวุโส เพราะในบริบทนี้คน Gen X ซึ่งส่วนใหญ่มีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานจะมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า
ด้วยความเป็นระบบทำให้ Gen X ปฏิบัติตามแผนได้จริง เพราะคิดครบรอบด้าน แต่ด้วยธรรมชาติการเป็นคนละเอียดจึงอาจทำให้มักคิดอยู่ในกรอบ จึงกลายเป็นแผนงานในลักษณะ Improvement โดยไม่ได้ตั้งใจ ทางกลับกัน Gen Y มีความคิดกว้างไกลและออกนอกกรอบได้มากกว่า จึงมีแนวทางหรือแนวคิดที่อาจสร้างให้เกิดกลยุทธ์ใหม่ขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของคน Gen Y ซึ่งรวดเร็วทั้งความคิดและใจ ก็มีโอกาสคิดไม่รอบด้านบางครั้งก็ยากที่จะนำความคิดไปสู่การปฏิบัติ
เราสามารถนำความต่างของคนทั้งสองเจเนอเรชั่นมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร โดยให้โอกาส Gen Y นำเสนอแนวคิดหรือความคิดเห็นต่างๆ แล้วให้ ผู้ละเอียดรอบคอบอย่าง Gen X ช่วยกรอง และจัดทำกรอบการทำแผนพร้อมพิจารณาในรายละเอียด ช่วยให้แผนมีความ หลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยให้น้อง Gen Y ให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็นในการทำแผนซึ่งปฏิบัติได้จริง
หวังว่าผู้อ่านจะได้แนวปฏิบัติในการใช้ประโยชน์จาก Diversity ในหน่วยงานได้บ้าง ยังมีแนวคิด "ความต่างที่เสริมกัน" เพิ่มเติม ซึ่งผมจะกล่าวในครั้งหน้าครับ
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561