ปเนต จงวัฒนา ผู้นำที่ดีต้องรับฟังไม่ว่าจะจากพนักงานระดับไหน
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 19 มิ.ย. 2558
เรื่อง: พัฐกานต์ เชียงน้อย
ภาพ: อภิชาติ กรณ์โคกกรวด
การก้าวขึ้นนั่งตำแหนงผู้บริหาร ในช่วงที่องค์กรกำลังฝ่าวิกฤติ ถือเป็นความท้าทายและความโชคดีของนักบริหารรุ่นใหม่ เพราะนั่นคือโอกาสเรียนลัดของธุรกิจที่ประสบปัญหา การแก้ไข และการเดินหน้าธุรกิจใหม่ในคราวเดียวกัน "ปเนต จงวัฒนา" รองกรรมการผู้จัดการสายบริหารทั่วไป บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) แม้จะไม่ใช่ผู้บริหารใหญ่เพียงคนเดียว ที่ต้องรับโจทย์ยากเมื่อ 7-8 ปีก่อน แต่การมีส่วนร่วมอยู่ในขณะนั้น ก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ และรับรู้บทเรียนที่มีค่าหลายๆ อย่าง
การที่บริษัทต้องเข้าแผนฟื้นฟู เมื่อปี 2554 หลังความผิดพลาดในอดีตเมื่อปี 2549 ที่บริษัทเข้าไปลงทุน ในธุรกิจพลังงานทดแทน ทำให้ธุรกิจมีรายได้กว่า 3 พันล้านบาท พลิกกลับเป็นติดลบ 3 พันล้านบาท จนถูกสั่งพักการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2553 แต่หลังจากผ่านแผนฟื้นฟูกิจการ พัฒน์กลพร้อมจะกลับมาซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้ง
"มันเป็นวิกฤติใหญ่ แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์ครั้งนั้น เราอาจจะมาไม่ถึงวันนี้ เราต้องเข้าไปปรับโครงสร้าง ปรับวิธีการทำงานหลายๆ อย่าง มีการนำระบบไอทีเข้ามาใช้ ปรับตัวให้เป็นองค์กรยุคใหม่มากขึ้น นำระบบบริหารจัดการ ระบบบริหารความเสี่ยง เรื่องการจัดการ Supply Chain ระบบควบคุมหลายๆ อย่างเข้ามาใช้ ในฐานะผู้บริหาร เราสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงาน ด้วยการให้เขามีส่วนร่วม ให้เขาเห็นภาพความเป็นจริงว่าองค์กรเป็นอย่างไร ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน". พร้อมกันนี้ ยังจัดระบบประเมินผลพนักงานใหม่ ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น จากที่ผ่านมาพนักงานได้โบนัสไม่ว่าจะได้เยอะหรือได้น้อย ไม่เคยพอใจ แต่เมื่อให้พนักงานได้มีส่วนร่วม ตั้งเป้าหมายองค์กรและการทำงานร่วมกัน คนที่ไม่ได้ ก็เข้าใจได้ว่าที่ตัวเองไม่ได้เป็นเพราะอะไร รู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงไหน. ทุกอย่างเกิดจากการให้เขารับรู้ และมีข้อตกลงร่วมกัน
ในฐานะผู้บริหาร "ปเนต" มองว่า ในธุรกิจผู้ประกอบการเครื่องทำความเย็นรายใหญ่ในอาเซียน และผู้ผลิตเครื่องทำน้ำแข็งหลอดรายใหญ่ ที่มีคู่แข่งขันเป็นบริษัทต่างชาติ สิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่จะทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ คือการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เขาเชื่อว่าไม่มีผู้นำคนไหนที่เก่งได้คนเดียว ในโลกของเทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สภาพแวดล้อมทางธุรกิจก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ความโชคดีของเขา คือการที่เคยทำงานเป็นเบื้องหน้า ทำหน้าที่วิศวกรมาก่อน ทำให้เข้าใจงานเบื้องหน้าได้ดี และเมื่อมาทำงานบริหารเบื้องหลัง ดูแลบริหารคน บริหารบัญชีการเงิน จนสามารถมองความต้องการของแต่ละฝ่ายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
"ทุกอาชีพ ทุกคนมีเป้าหมายที่ตัวเองต้องบรรลุ ทุกคนคิดว่าตัวเองสำคัญ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องบาลานซ์ เซลส์คิดจะขายอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงกฎระเบียบ. ฝ่ายติดตั้งก็จะติดตั้งอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงเรื่องเซฟตี้ เราก็ต้องประสานความเข้าใจตรงนี้เข้ามา"
เทคนิคที่ทำให้คนทำงานประสานกันได้ดี นอกจากนโยบายที่ผู้บริหารเข้าไปดูแลแล้ว คือการเปิดให้ทีมงานเข้ามามีส่วนร่วม มีส่วนในการออกข้อกำหนด ในยุคปัจจุบัน การออกคำสั่งอย่างเดียว มันไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ และไม่เพียงพอต่อการทำงานที่ดี ต้องมาวางวิธีการทำงานร่วมกัน วิธีนี้อาจใช้เวลานานในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อเริ่มปฏิบัติและเดินหน้าแล้ว ทุกอย่างจะเดินไปได้เร็ว และที่สำคัญ ไม่ว่าคำสั่งจะออกมาในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ก็ไม่มีใครแฮปปี้เหมือนกัน
อีกหนึ่งทักษะของผู้นำยุคใหม่ที่ขาดไม่ได้เลย คือ การ Dynamic การปรับตัวเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งทักษะในการผลักดันความสามารถและศักยภาพของทีมงานให้แสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากสมัยนี้ไม่มีใครที่เก่งอยู่เพียงคนเดียวได้ และสิ่งที่เคยดีเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง
"ปเนต" บอกว่า ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การนับประสบการณ์ของคนทำงานเป็นปี อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคน คนในยุคก่อน อาจจะใช้เวลานานในการเรียนรู้เรื่องบางเรื่อง แต่คนยุคใหม่มีอินเตอร์เน็ต มีโลกออนไลน์ที่เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญและรับฟังทีมงานในทุกระดับ คนเก่า ก็ต้องมีการฝึกอบรมให้ทันกับสิ่งใหม่ๆ ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็สามารถนำประสบการณ์ หรือความสนิทสนมกับลูกค้าที่มีมามากกว่า มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่ ยิ่งในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงมากๆ ทักษะจากทีมงานที่หลากหลาย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารมองข้ามไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับไหน
นอกจากการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลแล้ว การกำหนดทิศทางธุรกิจ ที่เติบโตต่อไปของเขา คือการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น จากการตลาดเออีซี ตลาดตะวันออกกลาง ที่ทำอยู่แล้ว พัฒน์กล มีเป้าหมายที่จะขยายและเจาะลึกในตลาดเหล่านี้ให้มากขึ้น ด้วยการไปตั้งเป็นออฟฟิศเต็มรูปแบบที่ประเทศฟิลิปปินส์เป็นที่แรก เพื่อความใกล้ชิดกับลูกค้า เข้าใจความต้องการของลูกค้าท้องถิ่นได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เพราะนอกเหนือจากคุณภาพสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญแล้ว ความเข้าใจลูกค้า การให้บริการที่ตรงกับความต้องการ ถือเป็นจุดแข็งที่พัฒน์กลใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างธุรกิจของตัวเองให้แข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้
แม้ผู้บริหารหนุ่มคนนี้จะบอกว่า คนที่เรียนมาทางด้านวิศวะ ก็อยากจะเป็นนักวิศวกร ทำงานตามสายงานที่ตัวเองเรียนมา แต่เมื่อเขาต้องเข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหาร เขาก็สามารถทำได้ดี ด้วยหลักการบริหารส่วนหนึ่งที่ได้มาจาก แจ๊ค เวลช์ ที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา และเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ กับเรื่อง Empowerment หรือการมอบอำนาจ ซึ่งเขาได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นสไตล์การบริหารส่วนตัว ที่ง่ายๆ เปิดเผย ตรงไปตรงมา และให้ทีมงานมีส่วนร่วม รวมถึง walk the talk พูดแล้วทำให้ดู เพราะหมดยุคที่ผู้บริหารจะเอาแต่ออกคำสั่ง แต่ตัวเองทำไม่ได้แล้ว
"ที่ผ่านมา พนักงานได้โบนัสไม่ว่าจะได้เยอะหรือได้น้อยไม่เคยพอใจ แต่เมื่อให้พนักงานได้มีส่วนร่วม ตั้งเป้าหมายองค์กรและการทำงานร่วมกันคนที่ไม่ได้ก็เข้าใจได้ว่าที่ตัวเองไม่ได้เป็นเพราะอะไรรู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงไหน...ทุกอย่างเกิดจากการให้เขารับรู้และมีข้อตกลงร่วมกัน"
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 18 - 20 มิ.ย. 2558