เปิดสวน'ลุงอ้วน บุฟเฟต์'100เดียว'ชิม-ช้อป'ไม่อั้น
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0วันที่ ปรับปรุง 15 มิ.ย. 2558
ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเข้าไปเที่ยว "ชมชิม-ช้อป" ผลไม้ในสวนของลุงอ้วนแห่งนี้กันอย่างคึกคักทุกวัน บางวันผลไม้บางชนิดถึงกับหมดสวนกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นการเที่ยวชมสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ยังเป็นการช่วยหนุนยุทธศาสตร์พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ต้อนรับการก้าวเข้าสู่อาเซียน ในรูปแบบแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนผลไม้อีกด้วย
ธวัช พลฉกรรณ์ หรือลุงอ้วน ในวัย 59 เจ้าของสวนแห่งนี้ เล่าให้ฟังว่า ที่ดินที่ทำเป็นสวนผลไม้นั้น เป็นที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้รับมอบมาจากผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี เมื่อปี 2529 จำนวน 24 ไร่ เดิมตนกับครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่มัน ไร่ข้าวโพด เหมือนอย่างที่เพื่อนบ้านทำกันปกติ ถ้าฤดูไหนเขาปลูกอ้อยกันเราก็ปลูกอ้อย เข้าหน้าปลูกข้าวโพดเราก็ปลูกด้วย เรียกได้ว่าทำตามๆ กันไปแบบนั้น แต่ผลผลิตที่ได้มันไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากการลงทุนนั้นต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยิ่งทำเหมือนยิ่งเป็นหนี้ จึงได้คุยกับครอบครัวว่าน่าจะลองเปลี่ยนอาชีพอื่นดูบ้าง
"ในปี 2536 จึงเริ่มลงมือปลูกผลไม้ โดยได้กล้าไม้บางส่วนมาจากทางภาครัฐ ที่ส่งเสริมให้การสนับสนุนให้เกษตรกรทดลองปลูกเงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง ลำไย ซึ่งเป็นกลุ่มผลไม้ที่ได้ผลผลิตคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาด ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ทำสวนเงาะ ทุเรียน มังคุด ใน อ.ลานสัก อ.บ้านไร่ และ อ.ห้วยคต รวมแล้วหลายสิบราย"
"ในช่วงที่ลงมือทำสวนใหม่ๆ นั้น ใครๆ ก็ว่าลุงบ้า มาปลูกสวนผลไม้จะได้กินดีรึ ขนาดทำไร่ผลผลิตได้เก็บเกี่ยวไว ยังเป็นหนี้กันมากมาย แล้วมาทำสวนผลไม้แบบนี้จะไม่อดตายกันรึ แต่ลุงไม่สนใจคำพูดใคร ลุงตั้งใจและสนใจค้นคว้าหาข้อมูลในการทำสวน โดยสวนที่ลุงทำนั้นเป็นแบบสวนเกษตรอินทรีย์ คือการทำการ
เกษตรด้วยหลักธรรมชาติ ไม่มีสารพิษตกค้างและหลีกเลี่ยงจากการปนเปื้อนของสารเคมีทางดิน ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนสู่สมดุลธรรมชาติโดยการไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ โดยเฉพาะปุ๋ย และยาฆ่าแมลง นอกจากจะมีต้นทุนการผลิตต่ำลงแล้วนั้น ยังทำให้ได้ผลผลิตที่สูง อุดมด้วยคุณค่าทางอาหารและปลอดสารพิษ"
"ธวัช" บอกด้วยว่า ลุงทำสวนในระบบเปิด ให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวได้เข้ามาชิม มาชมผลไม้ได้อย่างไม่อั้นทั้งวันในราคา 100 บาท ผลไม้ที่สวนนั้นไม่ได้ส่งออกตลาดค้าใดๆ เคยมีพ่อค้าแม่ค้ามาถามซื้อ แต่ไม่รู้จะขายเขายังไง เลยไม่อยากขายกลัวว่าจะขายแพงเกินไปอีก รวมทั้งปัจจุบันนี้ผู้คนเริ่มรู้จักสวนลุงกันมากขึ้น มีผู้คนเข้ามาที่สวนทุกวัน เลยทำให้ผลไม้ทุกชนิดไม่เคยเหลือค้างให้เน่าเสียเลยสักต้น กำไรอาจจะไม่มากมาย แต่ก็ได้กินผลไม้ที่ตัวเองอยากกิน ไม่ต้องไปซื้อใคร แบ่งขายเพื่อนบ้านบ้างแจกบ้างก็มีความสุขดี ที่ได้ทำสวนทำงานอย่างนี้อยู่กับบ้าน แถมยังได้ช่วยเพื่อนบ้านอีก 6 คน ให้มีรายได้ โดยการจ้างวันละ 300 บาท ให้เข้ามาช่วยดูแลสวนผลไม้ รายได้ต่อปีก็จะอยู่ที่ประมาณ 300,000-350,000 บาทแล้วแต่ปี ถือว่าไม่มากไม่น้อยอยู่กินกันได้อย่างสบาย ไม่ขัดสนไม่ลำบาก มีความสุขกับครอบครัวบนความพอเพียงเท่านี้ก็มีความสุขดี
"กว่า 22 ปี ที่ลุงและครอบครัวดำรงชีวิตอยู่ในหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่พ่อหลวงได้สอนเราชาวไทยทุกคนเสมอมา ว่าให้ยึดหลักการใช้ชีวิตแบบนี้ อยากกินอะไรก็ปลูก เหลือมากก็ขาย เหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งปัน ทำให้ลุงรู้แล้วว่าที่พ่อหลวงพูดมานั้นคือความจริง ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเรานั้นจะรวยเท่าไหร่ จึงจะมีความสุข แต่ความสุขที่แท้จริงนั้นมันอยู่ที่ว่าเรารู้จักพอและหยุดได้ตรงแค่ไหนต่างหาก" ลุงอ้วนตบท้าย
บรรยายใต้ภาพ
ธวัช พลฉกรรณ์
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 15 มิถุนายน 2558