เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

เกษตรพันธสัญญาดันรังไหมขาวราคาพุ่ง

ข่าววันที่ :20 มิ.ย. 2562

Share

tmp_20192006092730_1.png

         ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดนโยบาย "การตลาดนำการผลิต" เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้แน่นอนและมีความ มั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม "ระบบเกษตรพันธสัญญา" ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จ โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ทำการเชิญชวน ผู้ประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญา ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตาม พ.ร.บ.ส่งเสริม และพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. 2560 ได้ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 60 ที่ผ่านมาต่อสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ เนื่อง จากมั่นใจว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยส่งเสริม และพัฒนาการทำการเกษตรในประเทศไทย ให้มีมาตรฐาน คุณภาพ และสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร และการทำธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจทาง การเกษตรอย่างยั่งยืน

          นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม นับเป็นอีกอาชีพสำคัญที่เป็นทางเลือกให้เกษตรกรไทยในการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ และกรมหม่อนไหมได้เข้าไปสร้างการรับรู้ในเรื่อง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการก่อนที่จะดำเนินการตกลงซื้อขายผลผลิตตาม พ.ร.บ. อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้แต่ละฝ่ายเห็นถึงประโยชน์ของ พ.ร.บ. ดังกล่าวที่จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่าย รวมทั้งการช่วยยกระดับคุณภาพการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศแบบยั่งยืนในอนาคต ส่งผลให้มีผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรด้านหม่อนไหมจดแจ้งในระบบเกษตรพันธสัญญาแล้วคือ บริษัท จุลไหมไทย จำกัด และเตรียมทยอยเข้าสู่ระบบอีกหลายราย

          ด้าน นางสุรีย์พัชร์ ต่อพลศรี อายุ 58 ปี ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี หนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมระบบ แปลงใหญ่ ภายใต้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจำหน่ายรังในพื้นที่ชุมชน 4 สปก.อุทัยธานี กล่าวว่า ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกทั้งหมด 4.2 ไร่ในพื้นที่แปลงใหญ่หม่อนไหมชุมชน 4 สปก.อุทัยธานี ซึ่งทางบริษัท จุลไหมไทย จำกัด จะมีกฎเกณฑ์ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้ราคาตามที่ตกลงกัน เช่น ต้องมีคุณภาพและต้องมีระบบประสิทธิภาพในการเลี้ยง โดยบริษัทฯ จะดูจากเปอร์เซ็นต์เปลือกรัง เวลามารับซื้อจะมีการสุ่ม เพื่อที่จะคัดรังดี รังเสีย รังเกรดเอ รังเกรดบี ถ้ารังเกรดเอ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 180-240 บาทต่อกิโลกรัม และหากรังไหมที่มีเปอร์เซ็นต์เปลือกรังดีก็จะได้ถึง 230 บาท จากเดิมจะราคาประมาณ 170-180 บาทต่อกิโลกรัม ระบบเกษตรพันธสัญญาได้สร้างแรงจูงใจที่เป็นธรรม ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 22 วันก็สามารถสร้างรายได้ประมาณ 9,000-14,000 บาท ขายแล้วภายใน 5 วัน บริษัทฯจะโอนเงินเข้าบัญชีให้ทันที ทำให้เกษตรกรยิ้มออกและมีความภาคภูมิใจและรู้สึกมั่นคงในอาชีพ

          นายไพฑูรย์ กลางแสง อายุ 41 ปี เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่แปลงใหญ่ จ.อุทัยธานี เล่าว่า ระบบเกษตรพันธสัญญาทำให้เกษตรกรไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาผลผลิตเพราะมีบริษัทฯรับซื้อที่แน่นอน และเชื่อมั่นว่าจะเข้ามาสร้างความเป็นธรรมในการตกลงซื้อ-ขายผลผลิตระหว่างพวกตนกับพ่อค้าหรือ ผู้รับซื้อ ซึ่งก่อนจะทำสัญญา ตนและครอบครัวได้ช่วยกันอ่านร่างสัญญาอย่างละเอียด เห็นแล้วว่าไม่มีข้อไหนที่เอาเปรียบกัน ประกอบกับกรมหม่อนไหมได้ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยตรวจตราสัญญาก่อนที่จะเซ็นยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่ารังไหมที่เราตกลงขายจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบราคาอย่างแน่นอน

          "ระบบเกษตรพันธสัญญา" นับเป็นการเปิดมิติใหม่ในการพัฒนาภาคเกษตรไทยให้เกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญช่วยคุ้มครองเกษตรกรซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรในการทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา ซึ่งช่วยเหลือเกษตรกรมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบเกินสมควร อันจะส่งผลให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในอนาคต.

 

ที่มา  :  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์   วันที่ 20 มิถุนายน 2562