ครม.ไฟเขียว'ธกส.'จ่ายปันผลคืนคลัง
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0
โดยให้มีการยกเลิกมติครม.เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2535 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น ธ.ก.ส. ซึ่งมีหลักการในการจ่ายเงินปันผลในส่วนของกระทรวงการคลัง จากเดิมกำหนดให้จ่ายโดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ธ.ก.ส. เป็น การจ่ายปันผลในลักษณะเงินนำส่งคลังเช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นๆ
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่ากระทรวงการคลังได้รายงาน ครม.ว่าปัจจุบัน ธ.ก.ส.มีสถานการณ์เงินและสภาพคล่องที่ดีกว่าในอดีต มีกำไรเฉลี่ยปีละกว่า 8,000 ล้านบาท และมีกำไรระดับสูงต่อเนื่อง ณ สิ้นปีบัญชีปี2558 ธ.ก.ส.มีกำไรสะสม 5.2 หมื่นล้านบาท ต่างจากช่วงปี2535-2540 ที่มีกำไรเพียงปีละ 400-500 ล้านบาท จำเป็นต้องมีการเพิ่มทุน
ดังนั้นจึงเห็นควรให้ธ.ก.ส.จ่ายผลตอบแทนให้กับกระทรวงการคลัง ในรูปแบบของเงินปันผลแทนการจ่ายปันผลเป็นหุ้น ทำให้รัฐสามารถนำเงินปันผลดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่างต่อไปได้
นอกจากนั้น ครม. เห็นชอบให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) โอนเงินเข้าบัญชีสะสม เพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของเอฟไอดีเอฟ กองที่1และกองที่3ในปีงบประมาณ2559จำนวน14,000ล้านบาท โดยให้ทยอยโอนตามปริมาณสภาพคล่องที่มีอยู่ ถ้าในระหว่างปีงบประมาณ 2559
หากเอฟไอดีเอฟ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญให้ส่งเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยปี2558 ครม.มีมติก่อนหน้านี้ให้ทยอยโอนเงินเข้าบัญชีสะสม เพื่อชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม3ครั้ง วงเงิน 65,029 ล้านบาท ทำให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณ2558 (30ก.ย.58)ยอดหนี้เอฟไอดีเอฟคงเหลือ984,790 ล้านบาท จากยอดเดิมที่มีหนี้สะสมกว่า1.01ล้านล้านบาท
"ที่ประชุมครม.ไม่ได้ติดใจเรื่องยอดหนี้ของเอฟไอดีเอฟ เพราะเมื่อเป็นหนี้แล้วก็ต้องชดใช้กันต่อไป กระทรวงการคลังได้รายงานว่าจากการทบทวนประมาณการกระแสเงินรับ-จ่ายของเอฟไอดีเอฟแล้ว คาดว่า ณ สิ้นเดือนก.ย.2559 เอฟไอดีเอฟ จะมีสภาพคล่องคงเหลือ15,598ล้านบาท ไม่รวมเงินปันผลที่รับจากธนาคารกรุงไทยรวมทั้งคาดการณ์ว่าในปี2559จะมีการโอนหุ้นในส่วนที่เอฟไอดีเอฟ ถือหุ้นไปบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ ทำให้เอฟไอดีเอฟเหลือสภาพคล่อง14,000ล้านบาท"พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากเปรียบเทียบจำนวนหนี้ของเอฟไอดีเอฟกว่า9แสนล้านบาท เทียบกับจำนวนประชากรของประเทศกว่า 65 ล้านคน ทำให้คนไทยเป็นหนี้ เอฟไอดีเอฟ เฉลี่ยคนละกว่า15,000บาท
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 7 ตุลาคม 2558
