ผู้นำกับวัฒนธรรมการคิด
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 5.0 จำนวนผู้โหวด 1ขณะที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใหม่ ตลอดจนนโยบายของรัฐบาล เริ่มใส่ใจและให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสร้างสังคมที่ใช้ความรู้เป็นฐานทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาที่อิงกับความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มมูลค่าและแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
ถึงแม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ กำลังคน กฎ กติกา ธรรมาภิบาล และ ระบบบริหารจัดการต่างๆของไทย ยังคงเป็นจุดอ่อนที่รอการแก้ไข แต่ความตั้งใจในการ ปฏิรูปทุกๆ มิติ จะส่งผลทำให้ศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันของไทยและ ในเวทีระหว่างประเทศดีขึ้น ซึ่งถ้าเราสามารถสร้างความตื่นตัวและเร่งปรับปรุงตรงนี้ได้ ก็คงสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างเข้มแข็งในที่สุด สิ่งที่องค์กรต้องกระทำนอกเหนือจากคุณภาพ (Quality) และผลิตภาพ (Productivity) แล้ว พลังความคิดสร้างสรรค์ กำลังทวีความสำคัญ กลายเป็นสิ่งบ่งชี้ศักยภาพและความสามารถของคนและองค์กรได้เป็นอย่างดี เพราะการเปลี่ยนแปลง (Change) ได้กลายเป็น
คำยอดฮิตติดลมบนไปแล้วในยุคสมัยนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่การสร้างสรรค์และ นวัตกรรม(Creativity and Innovation) กำลังเป็นทางเลือกใหม่ขององค์กร
ทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับสินค้าและบริการต่างๆ ได้อย่างน่าประหลาดใจ เพราะ ดูเหมือนว่าผู้บริโภคพร้อมจะต่อแถว หรือลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อให้ได้สินค้าที่ เลอเลิศมาครองก่อนใคร แต่การจะสร้างนวัตกรรมที่ออกมาโดนใจ ชนิดขายได้ถล่มทลายไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพียงแต่เราต้องสร้างบรรยากาศให้เด็ก เยาวชน และคนทำงานได้คิด และมีเวที ให้ได้แสดงผลงานจากความคิดในมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน ผู้ใหญ่ก็ต้องมีใจเปิดกว้างรับฟังและให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
ไม่ใช่บอกว่าเปิดโอกาสเต็มที่ แต่ถึงเวลากลับยึดติดกับความคิดและประสบการณ์ ในอดีตของตนเอง คำพูดที่มักจะได้ยินและบั่นทอนกำลังใจอย่างมากคือ "คิดอะไรเพ้อเจ้อ" "ถ้าทำได้จริงคนอื่นคงทำไปตั้งนานแล้ว"
วัฒนธรรมกล้าคิดกล้าทำกล้านำเสนอจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่เบอร์ 1 ขององค์กร ไม่สามารถข่มใจรับฟังอย่างตั้งใจ และยังหลงตัวพูดชี้นำหรือสั่งการตามความคิดเห็นตนเองอยู่เสมอ
ถ้าตัดสินใจดีแล้วที่จะใช้ความคิดเป็นตัวนำ และส่งเสริมให้ทุกคนทำตามความคิดและความฝันนั้นให้ได้ มาเริ่มต้นง่ายๆ จากการส่งเสริมให้คนรอบตัวได้แสดงออกซึ่งความคิดริเริ่มที่ไม่เหมือนใคร แปลกใหม่น่าใช้ ต่อจากนั้นคือการนำความคิดนั้นมาสร้างให้เกิดเป็นจริงขึ้นได้ดังคำที่ว่า 'IDEA I DO' ดังนี้ I - Imagination and Inspiration จินตนาการ และแรงบันดาลใจ หลายครั้งก็มาจากความต้องการของลูกค้าที่อยู่ในใจลึกๆ (Insight) หรือบางครั้งก็มาจากกระแสเรียกร้องของตลาด
D - Differentiation ความแตกต่าง ทั้งที่เป็นการแก้ไขปัญหาความยุ่งยากเดิม เพิ่มเติมด้วยความสามารถที่ดีกว่าเก่า หรือเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครนึกถึงมาก่อน
E - Esteem ความโดดเด่น ล้ำค่า มากมายด้วยความสามารถ หรือช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ให้ดีขึ้น อาจจะแก้ปัญหาความยุ่งยากที่มีอยู่ของกระบวนการผลิต และความสามารถของผลิตภัณฑ์แบบเดิม
A - Appearance ดูดี มีสง่า น่าใช้ เป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่ช่วยสร้างสุนทรียศาสตร์ให้แก่ผู้พบเห็น รวมถึงผู้ใช้งาน ที่สำคัญควรจะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่ลำพังความคิดถ้าไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ก็จะกลายเป็นความเพ้อฝันได้ในที่สุด มาลงมือทำกันด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
I - Invention การประดิษฐ์คิดค้น หรือการสร้างต้นแบบขึ้นจากความคิด ลองผิดลองถูกไม่ว่า ขอให้ได้ลองทำดู เพราะไม่ลองย่อมไม่รู้
D - Development การพัฒนาต่อยอดสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์หรือเป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยการผลิตในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของตลาด หรืออาจขายสิทธิให้ ผู้อื่นที่มีความสามารถนำไปต่อยอดจากสิทธิบัตรที่เราจดทะเบียนไว้
O - Offering การเผยแพร่สู่กลุ่มเป้าหมาย หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้ เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของนวัตกรรมนั้นๆ ไม่แน่เกิดฮิตติดลมบน หรือปฏิวัติวงการจนทำให้ของเก่าเลิกใช้ไปเลยก็ได้
ลองนำความคิดมาประดิษฐ์ พัฒนา และถ่ายทอด ก่อนจะมลายกลายเป็นแค่ฝันสลาย แรกๆ อาจยังไม่ตรงเป้าและเสียเวลาไปบ้าง แต่บ่อยครั้งนานวันทักษะความสามารถจะช่วยปรุงแต่งความคิดให้บรรเจิดกลายเป็นนวัตกรรมที่คนทั่วไปชื่นชมได้ในที่สุด
เริ่มต้นด้วยการสร้างวัฒนธรรมการคิด การแลกเปลี่ยน จนไปถึงการลงมือปฏิบัติจริง Project Based Learning จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิผลจริงๆ--จบ--
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 14 กรกฏาคม 2558