คนแห่สมัครกองทุนการออมฯ ทะลุ 3 แสนราย ยอดเงิน 281 ล้าน
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 58 นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ กอช.เปิดรับสมัครสมาชิกเมื่อวันที่ 20 ส.ค.58 จนถึงขณะนี้ สามารถรับสมัครสมาชิกได้แล้ว 300,471 ราย ถือเป็นตัวเลขที่เกินกว่า 50% ของเป้าหมาย ในขณะที่ระยะเวลาผ่านไปเพียง 1 เดือนเศษ ทำให้ กอช.มีความมั่นใจว่า จะสามารถรับสมัครสมาชิกได้ตามเป้าหมาย 600,000 คน ภายในปีนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ธนาคารทั้ง 3 แห่งได้ให้ความร่วมมืออย่างดี โดยระดมพนักงานดำเนินการรับสมัคร ซึ่งขณะนี้ยอดผู้สมัครเข้ามาอย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยวันละ 5,000 ราย โดยเป้าหมายสิ้นปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500,000 คน และ 3,000,000 คน ในสิ้นปี 2561
ขณะที่ ยอดเงินสมาชิกส่งเข้ากองทุนมีประมาณ 281 ล้านบาท โดยผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) 189 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 62 ล้านบาท และธนาคารกรุงไทย 30 ล้านบาท โดยมีผู้สมัครผ่าน ธ.ก.ส. 194,000 ราย มาจากธนาคารออมสิน 87,000 ราย และ 19,000 ราย มาจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยเป็นสมาชิก ภาคเหนือ ร้อยละ 10 ภาคกลาง ร้อยละ 18 ราย ภาคตะวันออก ร้อยละ 5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 59 ภาคตะวันตก ร้อยละ 3 และภาคใต้ ร้อยละ 5 สำหรับสมาชิกทั้งหมดนี้ ประมาณร้อยละ 75 มีอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 12 อาชีพรับจ้างทั่วไปและอาชีพอื่นๆ ส่วนร้อยละ 10 มีอาชีพค้าขาย และนิสิต นักศึกษา ร้อยละ 3 โดยมียอดเงินฝากเฉลี่ยครั้งละ 930 บาท
สำหรับ กอช.เป็นหน่วยงานล่าสุดที่รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันจนสามารถดำเนินการรับสมัครสมาชิกได้ โดย กอช.ก่อตั้งภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 เพื่อเป็นทางเลือกสวัสดิการเงินบำนาญ สำหรับประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ และแรงงานนอกระบบ ซึ่งไม่มีสวัสดิการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันยามชราภาพ โดยสมาชิกสามารถสมัครได้ที่สาขาของธนาคารทั้ง 3 แห่งทั่วประเทศ เพียงยื่นบัตรประชาชน เพื่อตรวจสอบสิทธิ์การสมัครและหากมีคุณสมบัติสมัครได้ สามารถใช้เพียงบัตรประชาชนยื่นสมัครพร้อมกับเงินฝากตามกำลังของแต่ละคน แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาท
สำหรับผู้สมัคร กอช.แบ่งสมาชิกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทอายุ 15 ปี ถึง 30 ปี เมื่อสมาชิกส่งเงินออมเข้าระบบ รัฐบาลจะโอนเงินสมทบในอัตรา 50% ของเงินออมแต่ไม่เกินปีละ 600 บาท ประเภทอายุ 30 ปี ถึง 50 ปี รัฐบาลจะสมทบในอัตรา 80% ของเงินออมแต่ไม่เกินปีละ 960 บาท และประเภท 50 ปี ถึง 60 ปี รัฐบาลจะสมทบในอัตรา 100% แต่ไม่เกินปีละ 1,200 บาท โดยสมาชิกทุกประเภท สามารถส่งเงินออมได้ไม่เกินปีละ 13,200 บาท และสมาชิกสามารถหยุดส่งเงินออมได้โดยสมาชิกภาพยังดำรงอยู่
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : http://www.thairath.co.th วันที่ 29 กันยายน 2558