สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายสัปดาห์ - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0ตลาดการเงินติดตามการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่มีกำหนดการกล่าวสุนทรพจน์ในวันพฤหัสบดี เพื่อมองหาสัญญาณในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน คาดถึงความเป็นไปได้ที่ Fed จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้หากอัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัว และเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งเพียงพอที่จะกระตุ้นการจ้างงาน ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาซานฟรานซิสโกและนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาแอตแลนตาที่ระบุก่อนหน้าหน้านี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นก่อนสิ้นปีนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ ด้านดัชนีและตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศออกมาในรอบสัปดาห์นี้บ่งชี้ว่า การขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างทรงตัวและขยายตัวได้ในอัตราที่ต่ำ พิจารณาได้จาก ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ขยายตัว ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นทรงตัวอยู่ในระดับเดิม ขณะที่ทั้งดัชนีภาวะธุรกิจในปัจจุบันของภาคการผลิต และยอดสั่งซื้อสินค้าลดลง ขณะที่แม้ว่ายอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะเพิ่มขึ้นแต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นเวลามากกว่า 6 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองจะปรับลดลง แต่ยอดขายบ้านใหม่กลับปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็ย้ำได้ว่า ภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงคลุมเครือ และขยายตัวได้ในอัตราที่ต่ำกว่าคาด สอดคล้องกับที่แบบจำลองการคาดการณ์ GDPNow ที่จัดทำโดย Fed สาขาแอตแลนตา แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
๏ ตลาดการเงินมุ่งให้ความสนใจการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งคำกล่าวได้สอดคล้องกับความเห็นของนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาซานฟรานซิสโกและนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาแอตแลนตา
-นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กล่าวว่า คาดว่า Fed จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้ ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัว และเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งเพียงพอที่จะกระตุ้นการจ้างงาน นางเยลเลนกล่าวว่า เธอและผู้กำหนดนโยบายคนอื่นๆของ Fed ไม่คาดว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาจะมีผลกระทบอย่างมากต่อนโยบายของ Fed
-นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาเซนต์หลุยส์ ระบุไม่เห็นด้วยกับการคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ฟื้นตัวขึ้นเพียงพอที่จะรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
-นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาซานฟรานซิสโก ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นก่อนสิ้นปีนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่เหมาะสม
-นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาแอตแลนตา ระบุยังคงหวังว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งนี้ นายล็อดฮาร์ทคาดการณ์ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
๏ ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่ทยอยประกาศออกมาบ่งชี้ถึงการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องแบบจำลองการคาดการณ์ GDPNow ที่จัดทำโดย Fed สาขาแอตแลนตา ที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
-Conference Board เปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 0.1% สู่ระดับ 123.7 หลังจากทรงตัวในเดือนกรกฎาคม และเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ดัชนี Coincident Economic Index (CEI) ปรับตัวขึ้น 0.1% สู่ระดับ 112.6 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนกรกฎาคม ส่วนดัชนี Lagging Economic Index (LAG) ปรับตัวขึ้น 0.2% สู่ระดับ 118.5 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก่อน
-Markit รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายนอยู่ที่ระดับ 53.0 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเดือนสิงหาคม และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 22 เดือน หรือต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 อย่างไรก็ดี แม้จะต่ำสุดในรอบ 22 เดือนแต่ดัชนีฯ ยังยืนอยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิต
-สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนสิงหาคมลดลง 4.8% สู่ระดับ 5.31 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา อันได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 6.2% ในเดือนสิงหาคม
-ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาริชมอนด์ รายงานว่า ดัชนีภาวะธุรกิจในปัจจุบันของภาคการผลิตในเดือนกันยายนลดลงสู่ระดับ -5 หลังจากอยู่ที่ระดับ 0 ในเดือนสิงหาคม และอยู่ที่ระดับ 13 ในเดือนกรกฎาคม
-กระทรวงระบุว่า ยอดขายบ้านใหม่ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 552,000 ยูนิต จากระดับ 522,000 ยูนิต ในเดือนกรกฎาคม (ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถูกปรับทบทวนแล้ว) และเมื่อเทียบรายปียอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 21.6% (y-o-y) ส่วนราคากลางของบ้านใหม่อยู่ที่ 292,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายใหม่ในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 267,000 ราย อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นเวลามากกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในรอบกว่า 40 ปี และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง
-ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปในเดือนสิงหาคมลดลง 2% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.5% จากที่เพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนกรกฎาคม (ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับทบทวนจากตัวเลขเบื้องต้นที่ขยายตัว 2.2%) อันเป็นผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของสหรัฐ
-ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาแอตแลนตา รายงานว่า แบบจำลองการคาดการณ์ GDPNow แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 3 ต่ำกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.5% โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขั้นสุดท้ายสำหรับไตรมาส 2 ในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จีดีพีจะขยายตัว 3.7%
มุมมองในสัปดาห์หน้า
ตัวเลขและดัชนีที่สำคัญที่จะทยอยประกาศออกมาได้แก่ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย(pending home sales) ราคาบ้าน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐโดย Conference Board, ADP Employer Services เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนและ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เป็นต้น ขณะที่ต้องติดตามการผ่านกฎหมายจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2559 ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้องปิดหน่วยงานบางส่วน หรือ ชัตดาวน์ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ หากทางสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านกฎหมายฯได้
สหภาพยุโรป
ตลาดการเงินมุ่งให้ความสนใจการกล่าวแถลงต่อคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการเงินของรัฐสภายุโรปของนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งก็ได้กล่าวถึงความเสี่ยงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปว่ามีเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ดี ECB ยังต้องการเวลามากขึ้นก่อนการตัดสินใจว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหรือไม่ สำหรับตัวเลขและดัชนีที่สำคัญทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาในรอบสัปดาห์นี้ ชี้ว่าจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆในเศรษฐกิจโลกส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปขยายตัวในอัตราที่ต่ำ พิจารณาได้จาก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเยอรมนีปรับตัวลดลง รวมทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซนและเยอรมนีที่ปรับลดลง ขณะที่ในส่วนของอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของฝรั่งเศสก็หยุดชะงัก โดย GDP ของฝรั่งเศสอยู่ที่ระดับ 0.0% (q-o-q) ชะลอจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.7% (q-o-q) อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของฝรั่งเศส ก็ยังเป็นปัจจัยที่ชี้ถึงการทิศทางของเศรษฐกิจฝรั่งเศสในครึ่งหลังของปีสดใสขึ้น สอดคล้องกับที่ธนาคารกลางเยอรมนี (บุนเดสแบงก์) คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เนื่องจากการอุปโภคบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่ขยายตัว แม้มีความผันผวนทั่วโลก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของจีนก็ตาม
๏ ตลาดการเงินมุ่งให้ความสนใจการกล่าวแถลงต่อคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการเงินของรัฐสภายุโรปของนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)
-นายมาริโอ ดรากีกล่าวว่า ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปได้เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ดี ECB ยังต้องการเวลามากขึ้นก่อนการตัดสินใจว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหรือไม่
๏ จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในเศรษฐกิจโลกส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในยุโรปขยายตัวในอัตราที่ต่ำ
-GfK รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเยอรมนีเดือนตุลาคมลดลงสู่ระดับ 9.6 จากระดับ 9.9 ในเดือนกันยายน โดยเป็นการลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน และนับว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่แตะระดับ 9.3 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
-Markit รายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) คอมโพสิตขั้นต้นของยูโรโซนอยู่ที่ระดับ 53.9 ในเดือนกันยายน ลดลงจากระดับ 54.3 ในเดือนสิงหาคม ขณะที่ผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่าจะอยู่ที่ 54.1
-Markit รายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของเยอรมนีในเดือนกันยายนปรับลดลงสู่ระดับ เล็กน้อยนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม แต่อัตราการขยายตัวก็แข็งแกร่งโดยรวม และมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการปรับตัวขึ้นต่อไปของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
-สำนักงานสถิติของฝรั่งเศส (INSEE) รายงานว่า เศรษฐกิจของฝรั่งเศสหยุดชะงักในไตรมาส 2 ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัว และบริษัทต่างๆใช้สต็อกสินค้าแทนที่จะผลิตสินค้าใหม่ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฝรั่งเศสในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 0.0% (q-o-q) โดยชะลอจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.7% (q-o-q) โดย INSEE ได้ทบทวนปรับลดการใช้จ่ายของผู้บริโภคลงเล็กน้อยสู่ระดับทรงตัวในไตรมาส 2 จากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในการคาดการณ์เบื้องต้น และได้ทบทวนตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชนเป็นเพิ่มขึ้น 0.3% จาก 0.2% ที่รายงานไว้เบื้องต้น
-สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ระบุว่า รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 1.21 หมื่นล้านปอนด์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดจากรายได้จากภาษีที่ลดลง โดยลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคมนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 1999
๏ ยังมีปัจจัยที่ชี้ถึงการทิศทางของเศรษฐกิจฝรั่งเศสและเยอรมนีในครึ่งหลังของปีสดใสขึ้น
-Markit รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของฝรั่งเศสในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.4 จากระดับ 50.2 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.4 จากระดับ 48.3 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งสูงสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นรับขึ้นมาอยู่ที่ 51.2 ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 เดือน เมื่อเทียบกับระดับ 50.6 ในเดือนสิงหาคม
-สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส (INSEE) รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 104 จากระดับ 103 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2011
-สำนักงานสถิติรัฐบาลกลางของเยอรมนี รายงานว่า ค่าจ้างที่แท้จริงของเยอรมนีในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 2.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 2008 โดยค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้นกว่า 2% เป็นเวลา 3 ไตรมาสติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 2.5% ในไตรมาสแรก และ 2.2% ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว
มุมมองในสัปดาห์หน้า
ตัวเลขและดัชนีเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศออกมาในรอบสัปดาห์ต่อจากนี้ของประเทศต่างๆ ได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฝรั่งเศสและอิตาลี ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของฝรั่งเศส ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2558 ของอังกฤษ อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภคเบื้องต้นของยูโรโซน รวมทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต เป็นต้น หลังจากที่ผ่านมาตัวเลขต่างๆส่วนใหญ่ชี้ไปในทางลบ
เอเชีย
รายงานดัชนี PMI ขั้นต้นภาคการผลิตของจีนจากการจัดทำของไคซิน/มาร์กิตลดสู่ระดับ 47.0 ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009 หลังจากที่ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมดัชนีอยู่ที่ 47.8 และ 47.3 ตามลำดับ โดยตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 ชี้ถึงการหดตัวจากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกที่รายงานออกมาก่อนหน้านี้ก็ชี้ถึงภาวะหดตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมการส่งออกของจีนหดตัว 8.3%(YoY) และ 5.5%(YoY) ตามลำดับ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 จะต่ำลงมากเมื่อเทียบกับในไตรมาส 1 และ 2 ที่เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7%(YoY) ขณะเดียวกันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้จีนเร่งส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กออกไปสู่ต่างประเทศมากขึ้นเนื่องจากขณะนี้จีนกำลังเผชิญกับภาวะกำลังการผลิตที่มากเกินไปซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตในประเทศอื่นๆ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากขึ้น
-ผลสำรวจของภาคเอกชนพบว่า ภาคการผลิตของจีนหดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่งในเดือนกันยายน ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจจะสร้างภาวะปั่นป่วนมากขึ้นให้แก่ตลาดการเงิน นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกกำลังวิตกกับจีน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่แล้ว โดยระบุว่า เฟดไม่แน่ใจว่า ปัญหาในต่างประเทศโดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน จะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐหรือไม่ ทั้งนี้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นของไคซิน/มาร์กิตลดสู่ระดับ 47.0 ในเดือนกันยายน ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 47.5
-ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยรายงานแนวโน้มปี 2015 ฉบับปรับข้อมูลใหม่ โดยเอดีบีระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียอาจจะมีเศรษฐกิจเติบโตช้ากว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ ในขณะที่อุปสงค์ได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีน เอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจจีนอาจเติบโตเพียง 6.8% ในปีนี้ และ 6.7% ในปีหน้า โดยลดลงจาก 7.3% ในปี 2014 และอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 7%
-สถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำของรัฐบาลจีนระบุในรายงานประจำปีว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงสู่ 6.9% ในปีนี้
-นายจู จื้อหมิน รองประธานบริหารสมาคมเหล็กและเหล็กกล้าของจีนเปิดเผยว่า ความต้องการเหล็กกล้าของจีนแตะระดับสูงสุดแล้ว การใช้เหล็กกล้าในจีนแตะระดับสูงสุดแล้ว และการใช้เหล็กกล้าจะไม่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอีกต่อไป ความต้องการใช้เหล็กกล้าของจีนลดลง 3.3% ในปีที่แล้ว โดยหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1981 และยังคงร่วงลงในปีนี้
-นายหวัง หลี่ฉวิน รองประธานสมาคมเหล็กและเหล็กกล้าจีนเปิดเผยว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กกล้า ทั้งหมดของจีนอาจจะสูงเกิน 100 ล้านตันในปีนี้ ตลาดต่างประเทศได้ช่วยหนุนกลุ่มผู้ผลิตเหล็กกล้าของจีนที่กำลังเผชิญกับภาวะกำลังการผลิตมากเกินไปและอุปสงค์ที่ชะลอตัวในประเทศ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กกล้ามีปริมาณ 71.87 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 26.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่การส่งออกที่พุ่งขึ้นได้เพิ่มความเสี่ยงที่จะมีมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับผู้ผลิตต้นทุนต่ำของจีน
เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆในเอเชียได้รับผลกระทบในทางลบมากขึ้นจากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา โดยยอดสั่งซื้อเพื่อส่งออกของญี่ปุ่นเดือนกันยายนลดลงในอัตรารุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี ขณะที่การส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วง 20 วันแรกของเดือนกันยายนลดลง 6.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
-มาร์กิต/นิกเกอิเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของญี่ปุ่นขยายตัวในอัตราที่ช้าลงในเดือนกันยายน ในขณะที่ยอดสั่งซื้อเพื่อส่งออกดิ่งลงในเดือนก.ย.ในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และสิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีนกำลังสร้างความเสียหายต่ออุปสงค์ในตลาดโลก มาร์กิต/นิกเกอิรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นต้นสำหรับภาคการผลิตของญี่ปุ่นอยู่ที่ 50.9 ในเดือนกันยายนโดยลดลงจาก 51.7 ในเดือนสิงหาคม โดยดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ดัชนีอยู่สูงกว่า 50 เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน แต่ดัชนีปรับลดลงในเดือนก.ย.เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
-กรมศุลกากรเกาหลีเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วง 20 วันแรกของเดือนนี้ ลดลง 6.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนยอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 3.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯระหว่างวันที่ 1-20 กันยายน
มุมมองสัปดาห์หน้า
สัปดาห์หน้าจับตาการรายงานดัชนี PMI ของภาคการผลิตของจีนเดือนกันยายนจากการรายงานของทางการจีนหลังจากที่ผ่านมาตัวเลขต่างๆส่วนใหญ่ชี้ไปในทางลบ ส่วนทางด้านญี่ปุ่นก็จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเดือนสิงหาคมในช่วงปลายเดือนนี้
ไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมาจะไม่ส่งผลให้เงินทุนต่างประเทศพลิกกลับมาเป็นไหลเข้ามากนักเนื่องจากตลาดยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า ขณะที่ในส่วนของรัฐบาลในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เห็นชอบนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์
-ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มองการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 ว่ามีผลกระทบไม่รุนแรงต่อตลาดเงินไทยเพราะตลาดยังต้องรอดูต่อไปว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใด ขณะที่การคงดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องดอกเบี้ยนโยบายของไทย ขณะที่ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่าการตรึงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เมื่อวันพฤหัสที่ 17 กันยายน อาจจะส่งผลให้เงินทุนที่ไหลออกจากไทยชะลอลง แต่ไม่ทำให้มีเงินทุนพลิกมาเป็นไหลเข้ามากนัก เนื่องจากตลาดยังคงคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือนธ.ค.นี้ โดยประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่หลังการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกแล้ว ความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยภายหลังจากได้ปรับขึ้นครั้งแรกไปแล้ว จะรวดเร็วและมีปริมาณมากน้อยเพียงใด
-นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เผยว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ โดยกำหนดซุปเปอร์คลัสเตอร์ อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์,ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และดิจิตอล ครอบคลุมพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และ ภูเก็ต สำหรับสิทธิประโยชน์ในซุปเปอร์คลัสเตอร์ อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และได้รับการลดหย่อนเพิ่มอีก 50% อีก 5 ปี, กระทรวงการคลังจะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10-15 ปี, ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร, ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่เป็นนักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ที่ทำงานในซุปเปอร์คลัสเตอร์ นอกจากนี้ จะพิจารณาให้ถิ่นที่อยู่ถาวรกับนักวิจัยต่างชาติ รวมถึงอนุญาตให้ต่างชาติ ถือกรรมสิทธิ์เพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมได้ โดยรัฐบาลต้องการส่งเสริมซุปเปอร์คลัสเตอร์ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในวันข้างหน้า
-นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า เงินลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานปี 59 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.3 แสนล้านบาท ขณะที่ในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังศึกษาอยู่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
มุมมองสัปดาห์หน้า
-จับตาดูรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเดือนสิงหาคมที่จะทยอยรายงานออกมาในสัปดาห์หน้า เช่นการส่งออก และ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เป็นต้น
โดย สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 25 ก.ย. 2558
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์ และการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ ได้จัดทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้และให้ความเห็นตามหลักวิชาการเท่านั้น ทั้งนี้สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ไม่อาจรับรองความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ทั้งปวง ที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์ การคาดหมาย และความคิดเห็นต่างๆ ที่ปรากฏในรายงานนี้ไปใช้ โดยผู้ที่ประสงค์จะนำไปใช้ในต้องยอมรับความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเองโดยลำพัง