ดักคอรายใหญ่ทุบSMEs แบงก์วอนอย่าบีบซื้อสินค้าตุนทำเงินช็อต-กระทบชำระหนี้
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า สถานการณ์ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ภายหลังจากธนาคารให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบันรวมมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท หรือประมาณ 1 หมื่นราย วงเงินกู้เฉลี่ยรายละ 1-5 ล้านบาท ส่วนหนึ่งแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความต้องการซื้อในตลาดที่ลดลง ทำให้ธุรกิจมีปัญหาในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังส่งผลกดดันรายได้และการเติบโตของผู้ประกอบการให้ลดลง นอกจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จะเป็นเรื่องของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องการทำยอดให้ได้ตามเป้าหมาย โดยการบังคับให้ผู้ประกอบเอสเอ็มอีซื้อสินค้าในภาวะที่ตลาดไม่มีความต้องการสินค้า แต่ใช้วิธีการลดราคาสินค้าลง หรือยืนข้อเสนออื่นๆ ในการให้ผู้ประกอบการสต๊อกสินค้าไว้โดยไม่มีความจำเป็น ทำให้เกิดการค้างสะสมของสินค้าในคงคลังจำนวนมาก รวมถึงในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการรายใหญ่มีการเลื่อนการชำระค่าสินค้า หรือเลื่อนการจ่ายเช็คออกไปให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เอสเอ็มอีขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ จึงเป็นปัญหากดดันต่อธุรกิจ
ดังนั้น ปัญหาส่วนหนึ่งที่ธุรกิจเอสเอ็มอีประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเป็นผลมาจากธุรกิจรายใหญ่จ่ายเงินล่าช้า ทำให้ธนาคารต้องเข้าไปช่วยขยายเครดิตเทอม ยืดเวลาในการชำระหนี้ หรือส่วนหนึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเอสเอ็มอีกลุ่มนี้ที่ได้รับผลกระทบจากผู้ประกอบรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าที่ธนาคารช่วยเหลือทั้งหมดจำนวน 1.4 แสนล้านบาท สามารถกลับมาผ่อนชำระได้เป็นปกติประมาณ 94% และที่เหลือยังอาจจะต้องประคองกันอยู่ แต่คาดว่าจะดีขึ้นภายหลังจากภาครัฐออกมาตรการและเม็ดเงินเข้ามาช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทรงตัวอยู่ในระดับ 3% และหนี้จัดชั้นจับตาเป็นพิเศษจะลดลงเช่นกัน "ภาพรวมธุรกิจเอสเอ็มอีไม่ได้แย่มากเมื่อเทียบกับต้นปี แต่สิ่งที่อยากขอร้องให้ธุรกิจรายใหญ่ที่มีรายได้ดี และสถานะการเงินแข็งแกร่งอย่าบีบธุรกิจเอสเอ็มอีมาก เพราะการบังคับให้ถือสต๊อกจำนวนมากค่อนข้างเป็นภาระ และการเลื่อนชำระเงิน แม้จะเป็นเม็ดเงินไม่มาก แต่ถือเป็นเงินก้อนสำคัญของธุรกิจเอสเอ็มอีในการดำรงสภาพคล่องในธุรกิจ"
"เราพร้อมจะปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีตามโครงการของภาครัฐ และหากไม่พอเราก็มีเงินของเราที่จะปล่อยอีก ซึ่งรวมๆ กันในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี หากมาตรการรัฐจะได้ผลก็ต้องขึ้นกับความต้องการสินเชื่อ และกำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคด้วย"
นายจิรัชยุติ์ อัมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพาณิชย์ธนกิจ บมจ.ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ตอนนี้ธนาคารให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง กระแสเงินสดสะดุด หรือมีปัญหาจากสต๊อกสินค้าทั้งสิ้นจำนวนประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยเฉลี่ยลูกค้าจะมีวงเงินประมาณ 50-100 ล้านบาท เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์โชว์รูม ข้าว เป็นต้น ทั้งนี้ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดจากลูกค้าเอสเอ็มอีบางกลุ่มที่มีการพึ่งพิงกับผู้ผลิตที่เป็นรายใหญ่ หรือมีการค้าขายให้กับรายใหญ่แบบเอ็กซ์คลูซีฟรายเดียว ซึ่งในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือรายใหญ่มีการผลิตสินค้าไว้จำนวนมาก จึงต้องการให้ลูกค้าเอสเอ็มอีช่วยเร่งระบายสต๊อกสินค้า อาจจะมีลดราคา หรือทำโปรโมชันให้กับเอสเอ็มอีในการช่วยขายสินค้าให้โดยการลด แลก แจก แถม หรือให้ช่วยแบ่งสต๊อกไว้
อย่างไรก็ดี ภาวะที่กำลังซื้อไม่ดี อาจทำให้สินค้าขายได้ไม่ดีเหมือนอดีต เช่น จากเดิมขายได้ 5 ชิ้น อาจเหลือ 2 ชิ้น หรือสินค้าที่ขายไม่ได้ (Dead Stock) จึงเกิดปัญหาสต๊อกล้น ซึ่งปัญหานี้สร้างต้นทุนทางการเงินให้กับเอสเอ็มอีทำให้ขาดสภาพคล่อง หรือกระแสเงินสดติดขัด ทำให้ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ธนาคารจึงเข้าไปช่วยเหลือในการยืดอายุการชำระหนี้ให้ตามจำนวนการขายสินค้า เช่น จากเดิมเคยขายหมดภายใน 3 เดือน อาจจะเป็น 6 เดือน ธนาคารจะขยายเทอมการชำระให้ตามเหมาะสม รวมถึงอาจเข้าไปช่วยดูแลการบริหารสต๊อก โดยวิธีการจับคู่ธุรกิจให้ อาทิ ข้าว ที่ต้องการระบายสต๊อก ธนาคารจะหาคู่ค้าที่ต้องการสินค้ามาช่วยรับซื้อ โดยให้ลูกค้า-ผู้รับซื้อเปิดการตกลงราคากันเอง ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี
ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าปัญหาการระบายสต๊อกสินค้าจากรายใหญ่ไปสู่รายย่อยหรือเอสเอ็มอี จะสามารถแก้ปัญหาได้ ผู้ประกอบการรายใหญ่จะต้องลดกำลังผลิตลงจากเดิม และหันไปผลิตสินค้าที่มีลู่ทางการขายสินค้าได้ เพื่อให้รายเล็กรับภาระการสต๊อกสินค้าน้อยลง ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย และช่วยให้การบริหารสต๊อกดีขึ้นเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจ
"เป็นเรื่องของการผลักภาระร่วมกันในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี หรือรายใหญ่อาจผลิตสินค้าไว้ล่วงหน้ามากเกินไป ทำให้ต้องผลักให้เอสเอ็มอีช่วยเร่งระบาย เช่น รถยนต์ที่ต้องส่งให้โชว์รูม ซึ่งเราก็ช่วยเหลือลูกค้าตามความเหมาะสม โดยตัวเลขรวมๆ ประมาณ 500-600 ล้านบาท"
นายไตรรงค์ บุตรากาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าเอสเอ็มอี บมจ.ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่พบเห็นว่ามีการสต๊อกสินค้าหรือหมุนเวียนสินค้าช้าลง หรือมียอดสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก จะเป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่มีการแบกสต๊อกไว้ อย่างไรก็ดี สินค้าค้างสต๊อกของกลุ่มดังกล่าว อาจมาจาก 2 อย่าง คือ 1.รายใหญ่ให้ช่วยรับสินค้าไว้ หรือ 2.เป็นนโยบายการกระจายสินค้า แต่ทั้งนี้หากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสต๊อกสินค้า หรือยอดขายลดลง ทำให้สภาพคล่องสะดุด ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของการขยายเทอมการชำระหนี้ ผ่อนเงินต้นและพักดอกเบี้ยไว้รวมถึงการให้วงเงินเสริม สภาพคล่องซึ่งมาตรการช่วยเหลือจะพิจารณาตามรายกรณี เพื่อให้แก้ปัญหาได้ตรงจุด
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการสินเชื่อซอฟต์โลน รวมถึงมาตรการอื่นๆ จากภาครัฐและมาตรการช่วยเหลือจากธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ ธนาคารเชื่อว่าธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วงที่เหลือของปีน่าจะปรับตัวดีขึ้น ทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องที่หมุนเวียนดีขึ้น แม้ว่าการส่งออกจะยังไม่ดีมากนัก แต่การไหลเวียนของธุรกิจและกระแสเงินสดน่าจะดีขึ้น แม้จะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด 100% แต่ผู้ประกอบการจะได้ต้นทุนที่ต่ำลง ธนาคารความเสี่ยงลดลง ซึ่งธนาคารตั้งเป้าต้นปีปล่อยสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และรายกลางประมาณ 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเป็นในส่วนที่จะเข้ามาใช้ซอฟต์โลนประมาณ 50% ของวงเงินปล่อยทั้งหมด
บรรยายใต้ภาพ
พัชร สมะลาภา
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 24 - 26 ก.ย. 2558