3แบงก์เล็งตัดหนี้สูญ SSIUK บีบบริษัทแม่ปรับโครงสร้างหนี้มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้าน
ให้คะแนนเนื้อหา
คะแนนเฉลี่ย 0.0 จำนวนผู้โหวด 0ระหว่างรอผลการหารือกับรัฐบาลอังกฤษและผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจโรงถลุงเหล็กบริษัท สหวิริยา สตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด(เอสเอสไอ ยูเค) ทาง 3 ธนาคารเจ้าหนี้เงินกู้ 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแบ่งเป็นเงินกู้ระยะยาว 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินกู้ยืมหมุนเวียน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ดูตารางประกอบ)เรียกให้บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด(มหาชน)(บมจ.)ซึ่งเป็นบริษัทแม่ร่วมชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันพร้อมร่วมหาแนวทางรักษาธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในไทยภายใต้เงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินและบริหารจัดการหนี้ดังกล่าว
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยว่า กลุ่มเอสเอสไอดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่มคือ โรงถลุงเหล็กครบวงจร, เหล็กแผ่นรีดร้อน, วิศวกรรมและท่าเรือน้ำลึก ซึ่งธุรกิจโรงถลุงเหล็กครบวงจรในอังกฤษบริษัทเข้าไปซื้อกิจการและลงทุนผลิตเหล็กแท่งมา 3 ปี โดยมีผลขาดทุนตลอดทาง ซึ่งบริษัทพยายามลดต้นทุนการผลิตไม่ว่าค่าใช้จ่ายหรือวัตถุดิบจนสามารถลดต้นทุนลงได้ 30% ทำให้ครึ่งหลังปีที่แล้วบริษัทมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อมและดอกเบี้ย
แต่หลายปัจจัยไม่ว่าราคาน้ำมันที่ปรับลดลงรวดเร็ว, เศรษฐกิจจีนชะลอและภาวะกำลังผลิตเหล็กของจีนที่ล้นตลาดโลกมีปริมาณเหล็กจากจีนส่งออกมากเป็นประวัติศาสตร์ รวมทั้งค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกลงทำให้ผู้ประกอบการผลิตในรัสเซียลดลงมาก เหล่านี้ทำให้เหล็กแท่งแบนราคาลดมา 40% แม้บริษัทจะลดต้นทุนลงแต่ไม่สามารถสู้ราคาเหล็กที่ปรับลดทำให้ต้นปีบริษัทเจอภาวะขาดทุนอีก
"เมื่อวันศุกร์ที่ 18 กันยายนเราตัดสินใจหยุดโรงงานถลุงเหล็กและเหล็กกล้าชั่วคราว เนื่องจากเป็นการผลิตที่ทำให้เราขาดทุนมากแต่การเป็นโรงงานถลุงเหล็กครบวงจรจึงเหลือโรงงานพลังงาน การขนส่ง โรงงานไฟฟ้าผลิตถ่านโค้กและท่าเรือน้ำลึกซึ่งยังดำเนินการอยู่" นายวินกล่าวและว่า
ขณะเดียวกันได้หารือผู้มีส่วนได้เสียทั้งรัฐบาลอังกฤษ สหภาพแรงงานและคู่ค้าสำคัญหลายรายแต่เนื่องจากมีความไม่แน่นอนของผลที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการหารือธนาคารเจ้าหนี้ทั้ง 3 แห่ง เพื่อเดินหน้าปรับโครงสร้างการเงินไม่ว่าส่วนของทุนหรือส่วนของหนี้เพื่อที่จะรักษาธุรกิจเหล็กแผนรีดร้อนในเมืองไทยซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของกลุ่มเพื่อไม่ให้ลามและลดผลกระทบต่อธุรกิจต่อเนื่องที่เป็นลูกค้าเราโดยเป็นเจตนาหาทางออกที่ดีที่สุดและเร็วที่สุด
ต่อข้อถามแผนการเพิ่มทุนนั้น นายวินระบุว่า มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนเมษายนโดยอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)1.6 หมื่นล้านบาทนั้น ยังคงอยู่แต่ต้องพิจารณาในส่วนดังกล่าวว่าจะอยู่ในส่วนของการปรับโครงสร้างทุนหรือไม่ ซึ่งบริษัทต้องการจัดการให้ครอบคลุมเบ็ดเสร็จและอยู่ในกระบวนการโดยจะพยายามสรุปหาวิธีการให้เร็วว่าจะใช้วิธีไหน ขณะที่ SSIUK ก็มีหลายทางออก ไม่ว่าจะขายออกหรือปิดอย่างถาวร แต่เรื่องนี้ละเอียดอ่อนจึงไม่อยากให้ข้อมูลเร็วเกินไป
ต่อเรื่องนี้ นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (บมจ.) เปิดเผยว่า ทั้ง 3 ธนาคารมองเห็นศักยภาพของบมจ.เอสเอสไอที่มีความสามารถในการแข่งขันจึงร่วมกันเพื่อยืนยันจะร่วมกันปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินทั้งหมดแม้ปัจจุบันจะต้องเร่งกระบวนการอะไรก็แล้วแต่ แต่จากที่ได้ทยอยตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมาอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นการจะตั้งสำรองเพิ่มจะไม่กระทบใดๆต่อธนาคารทั้ง 3 แห่ง
"ยืนยันว่าจะร่วมกันปรับปรุงแก้ไขให้เอสเอสไอกลับมาดำเนินการได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในส่วนของทิสโก้ไตรมาส 3 ปีนี้ตั้งใจจะตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก 1.1-1.5 พันล้านบาทเพื่อให้เต็มจำนวนซึ่งเอ็นพีแอลของธนาคารจะเพิ่มประมาณ 0.34% ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้สินเชื่อที่ให้กับSSIUK ธนาคารมีแผนจะตัดหนี้สูญภายหลังกันสำรองเต็มจำนวนตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)"
สอดรับกับนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ที่ระบุว่า กรุงไทยได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญแล้ว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทและไตรมาส 3 จะสำรองเพิ่มอีก 9 พันล้านบาท ขณะเดียวกันจะกันสำรองทั่วไปในคราวเดียวด้วย ซึ่งยอมรับว่ากันสำรองครั้งนี้จะกระทบหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก่อนหักฯ เพิ่มเป็น 1.75% จาก 1.5% แต่หากไม่กันสำรองเพิ่มจะทำให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพลดเหลือ 90% จากปัจจุบันอยู่ที่ 125% และยืนยันว่า แม้ธนาคารต้องตั้งวงเงินสำรองฯอีกไม่กระทบต่อผลกำไรของธนาคารแต่อย่างใด (เอ็นพีแอลรวมจะเพิ่มเป็น 3.5% วงเงิน 8.3 หมื่นล้านบาทจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.9%)
เช่นเดียวกับนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหารบมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยพาณิชย์จะกันสำรองเพิ่มอีกประมาณ 1-1.1 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการตั้งสำรองที่ครอบคลุมมูลหนี้โดยแม้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงกว่านี้ธนาคารไม่ต้องมาตั้งสำรองกันอีกโดย 3 ธนาคารและเจ้าหนี้รายอื่นต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเพื่อทุกอย่างไม่สะดุดก่อนจะได้ข้อสรุป
"การกันสำรองเพิ่มจะกระทบผลประกอบการไม่มากเนื่องจากธนาคารจะขายเงินลงทุนส่วนหนึ่งซึ่งคาดว่าจะได้เงินประมาณ 7-8 พันล้านบาท จึงมีส่วนขาดอีกไม่มาก ขณะนี้ปัจจุบันสถานะของลูกหนี้ยังไม่จัดชั้นเป็นเอ็นพีแอลแต่หากมีการเลื่อนชำระหนี้เดือนกันยายนออกไปเป็นสิ้นปีอาจต้องจัดเป็นลูกหนี้เอ็นพีแอล" นายอาทิตย์กล่าวย้ำ
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 24 - 26 ก.ย. 2558