เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

2แบงก์รัฐ'เอ็นพีแอล'พุ่ง ธ.ก.ส.-ออมสิน'สั่งสาขา'ดูแลลูกค้า ช่วยก่อน'หนี้ตกชั้น'

ข่าววันที่ :21 ก.ย. 2558

Share

tmp_20152109111649_1.jpg

          สถานการณ์หนี้เสียหรือเอ็นพีแอลของธนาคารรัฐยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่า ครึ่งแรกปี 2558 มีเอ็นพีแอล 2.06 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน คิดเป็น 5.5% ของสินเชื่อรวม เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่ออุปโภคบริโภค

          นอกจากนี้ สินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) อยู่ที่ 1.58 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.44 หมื่นล้านบาท หรือ 27.9% จากไตรมาส ก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 59.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสัดส่วนสินเชื่อจัดชั้น กล่าวถึง เป็นพิเศษต่อสินเชื่อรวม (SM Ratio) อยู่ที่ระดับ 4.2% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ระดับ 2.8 %

          นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือแบงก์รัฐ แม้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะอยู่ในระดับที่ดูแลได้ แบงก์ปกติก็เดินหน้าทำงานได้ ส่วนแบงก์ที่อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูผลการดำเนินการ ก็ต้องมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

          สำหรับหนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ หรือที่ผิดนัดชำระ 1-3 เดือนนั้น เป็นส่วนที่ต้องเข้าไปบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ตกชั้น ไปเป็นเอ็นพีแอล ธนาคารต้องเข้าไปดูว่า มีปัญหาอะไร มีเหตุอะไรให้ผิดนัดชำระ จะช่วยเหลืออย่างไร ในความเป็นจริงเขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ขาดสภาพคล่องหรือไม่

          หากเป็นปัญหาเรื่องขาดสภาพคล่อง รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว ทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน 1 แสนล้านบาท และการปรับเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม ขนาดย่อม (บสย.) ให้จูงใจธนาคารปล่อยกู้เอสเอ็มอีมากขึ้น

          ธ.ก.ส.ยอมรับเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น

          นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า สถานการณ์เอ็นพีแอลของธนาคารล่าสุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากระดับเกือบ 4% มาอยู่ที่ระดับ 5% ของสินเชื่อรวม เป็นการเพิ่มขึ้นจากส่วนที่เป็นหนี้ที่มีการกล่าวถึงเป็นพิเศษ หรือเอสเอ็ม(SM) หรือที่ผิดนัดชำระ1-3 เดือน เพราะเข้าไปจัดการไม่ทัน ทำให้กลุ่มนี้ตกชั้นมาเป็นเอ็นพีแอล

          ธนาคารได้เชิญทางฝ่ายปฏิบัติการมาหารือ เพื่อเร่งดำเนินให้แก้ไขปัญหา หากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีปัญหารุนแรงมากนัก ธนาคารจะขยายเวลาคืนหนี้ เพื่อทำให้งวดการชำระสอดคล้องกับรายได้ของลูกค้า ทำให้ไม่เป็นเอ็นพีแอล

          "แต่ส่วนที่เป็นเอ็นพีแอลแล้ว ต้องเข้าไปรีวิวเป็นราย โดยให้พนักงานสาขาเข้าไปพูดคุยดูแล ส่วนที่หนักจริงๆ ต้องปรับโครงสร้างหนี้ ตามมาตรการที่ธนาคารมีอยู่ แม้เอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารมีการตั้งสำรองอยู่แล้ว 100% หากลูกค้ากลับมาชำระคืนได้ติดต่อกัน 3 งวด กลับเป็นลูกค้ากลุ่มปกติ"

          เอสเอ็มอีแบงก์เกาะติดลูกค้าใกล้ชิด

          ทั้งนี้เอ็นพีแอลส่วนที่เพิ่มขึ้นมาก เป็นผลมาจากรายได้สินค้าภาคเกษตรปรับลดลง โดยเฉพาะยางพารา และข้าว ซึ่งลูกค้าที่เป็นเกษตรกรชาวนา ไม่ได้ทำนาปรังเมื่อปีที่แล้ว ส่วนาปีปีนี้ก็ได้ทำบางส่วน ไม่เต็ม 100% รายได้ จึงหายไป ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยกลุ่มนี้ ธนาคารเข้าไปดูแล เกษตรกรสามารถฟื้นตัวได้เร็วเมื่อมีน้ำมา ส่วนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนไม่ค่อยมีปัญหา

          "ได้พูดคุย หารือกันว่า ธนาคารสามารถเข้าไปดูแลช่วยเหลือ และเร่งรัดการแก้ปัญหาเรื่องหนี้ให้กับลูกค้า เพื่อบริหารจัดการให้ เอ็นพีแอลของธนาคารสิ้นปีบัญชี 2558 อยู่ในระดับไม่เกิน 4% เท่าที่ได้พูดคุยกับฝ่ายปฏิบัติการมั่นใจว่าจะสามารถทำได้"

          นางสาลินี วังตาล ประธานคณะกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า หลังปล่อยสินเชื่อไปแล้ว ธนาคารมีการดูแลลูกค้าใกล้ชิด โดยให้สาขาติดตามดูกิจการลูกค้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ต้องดูว่าทำกิจการจริงหรือไม่ นำเงินกู้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งระบบการติดตามลูกค้านี้ มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดเอ็นพีแอลได้อีกทางหนึ่ง

          หนี้เสียออมสินพุ่ง2.05%

          นายชาติชาย พยุหนาวี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยสถานการณ์หนี้เสียของธนาคารว่า ขณะนี้อยู่ในระดับทรงตัวจากช่วงที่ผ่านมา ช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา หนี้เสียต่อเดือนเฉลี่ย 600-800 ล้านบาท ขณะนี้เฉลี่ยที่ 500-600 ล้านบาทต่อเดือน

          สาเหตุที่ทำให้หนี้เสียช่วงที่ผ่านมาปรับสูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ลูกค้ารายย่อยมีปัญหาชำระหนี้ แต่ธนาคารสามารถเข้าไปบริหารจัดการหนี้เสียให้ดีขึ้น ทำให้ขณะนี้หนี้เสียอยู่ในภาวะทรงตัว

          ปัจจุบันระดับหนี้เสียต่อสินเชื่ออยู่ที่ 2.05% เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่กว่า 1% คาดถึงสิ้นปี จะสามารถบริการจัดการหนี้เสียให้ลดลงมาอยู่ 1.7% จากเป้าที่จะทำให้หนี้เสียอยู่ในระดับ 1.5%

          "ยอมรับว่า หนี้เสียเราเพิ่มขึ้นอย่างมี นัยสำคัญ เราได้เข้าไปดู และลดระดับหนี้เสียลงมาได้ ส่วนใหญ่หนี้เสีย เกิดจากลูกหนี้รายย่อย และสินเชื่อบุคคล เดือนก่อนหน้าหนี้เสียขยับเพิ่มขึ้นอีกจากปกติ 200 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเกิดจากลูกหนี้รายใหญ่ที่มีปัญหา" นายชาติชาย กล่าว

          แม้หนี้เสีย ออมสิน จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากเทียบสัดส่วนหนี้เสียของธนาคารกับธนาคารพาณิชย์อื่น พบว่า หนี้เสีย เราอยู่ในระดับต่ำ ทั้งที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งเราได้เข้าไปบริหารจัดการปิดความเสี่ยงโดยเข้าถึงตัวลูกค้า ปัจจุบันการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของธนาคาร ยังมีหนี้เสียย้อนกลับราว 20%

          ยอดสินเชื่อใหม่ปีนี้ขยายตัว3แสนล.

          สำหรับภาพรวมของสินเชื่อ ขณะนี้ยอดคงค้างสินเชื่อ 1.76 ล้านล้านบาท คาดปลายปีอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ตลอดทั้งปีต้องขยายตัว 3 แสนล้านบาท และมี ยอดสินเชื่อใหม่สุทธิ 1 แสนล้านบาท ปัจจุบันยอดสินเชื่อใหม่อยู่ที่กว่า 1 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับสินเชื่อภาครัฐที่จะเข้ามาจากโครงการสินเชื่อซอฟท์โลนและกองทุนหมู่บ้านอีก 1.3 แสนล้านบาท ทำให้สินเชื่อใหม่ปีนี้ขยายตัวได้ในระดับดังกล่าว

          "การปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ต้องบอกว่า เราพยายามปล่อย แต่มีสินเชื่อภาครัฐ ก้อนใหญ่คืนหนี้มา 5-6 หมื่นล้านบาท แม้ทำรายย่อยได้ 2-3 หมื่นล้านบาท แต่ภาพรวมยังติดลบ 3-4 หมื่นล้านบาท เราจะมีสินเชื่อภาครัฐก้อนใหญ่เข้ามา จากโครงการซอฟท์โลน และกองทุนหมู่บ้านอีก 1.3 แสนล้านบาท ช่วยให้สินเชื่อเราปล่อยได้ตามเป้า ส่วนปีหน้าหากภาวะเศรษฐกิจดี การปล่อยสินเชื่อก็ไม่น่ามีปัญหา" นายชาติชาย กล่าว

          ธปท.มั่นใจคุม"หนี้เน่า"ต่ำ3% ด้าน นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า  ภาพรวมปัญหาเอ็นพีแอล ยังไม่น่ากังวลมากนัก แต่ยอมรับธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) มีปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นบ้าง แต่เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ และธนาคารพาณิชย์ก็ติดตามดูแลใกล้ชิด

          "ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เอสเอ็มอีก็เป็นกลุ่มที่เห็นความลำบาก เวลาโดนเขามักโดนก่อนคนอื่น แต่ถามว่าน่าห่วงหรือไม่ เราก็ตามดูอยู่ แต่ไม่ได้กังวลมากนัก เราตามดูนานแล้ว พอเริ่มซึมก็เข้าไปดูแล้ว"นางทองอุไร กล่าว

          ส่วนสินเชื่อที่ปล่อยให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี แม้มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ แต่วงเงินการปล่อยแต่ละรายไม่ได้สูงมากนัก

          ดังนั้นเวลาที่เกิดหนี้เสีย จึงไม่ได้สร้างปัญหาเท่ากับสินเชื่อขนาดใหญ่ แม้เอ็นพีแอลของกลุ่มเอสเอ็มอี จะเพิ่มขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้าเทียบกับสัดส่วนสินเชื่อโดยรวมแล้วไม่ได้มากนัก ทั้งปีนี้เอ็นพีแอลโดยรวมคงไม่เพิ่มขึ้นเกิน 3% เพราะธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังมาก

          รายใหญ่บางรายส่อเป็นหนี้เสีย

          "สำหรับสินเชื่อรายใหญ่บางราย ที่เริ่มมีปัญหาขณะนี้ มั่นใจว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบเสถียรภาพสถาบันการเงิน เพราะสัดส่วนหนี้ไม่ได้สูงมาก และธนาคารพาณิชย์ ก็ตั้งสำรองไว้ครอบคลุมหมดแล้ว จึงมั่นใจว่าไม่มีปัญหา" นางทองอุไร กล่าว

          ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ถือโอกาสไปลงทุนในต่างประเทศกันมากขึ้น โดยเฉพาะแถบซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมทั้งลงทุนในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ถือเป็นประเทศเป้าหมาย จะเห็นว่าสินเชื่อปล่อยใหม่ช่วงนี้ ส่วนใหญ่ปล่อยให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ออกไปลงทุนในประเทศเหล่านี้ สำหรับมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของภาครัฐ  นางทองอุไร กล่าวว่า จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี แต่การแก้ปัญหาเอสเอ็มอี ต้องทำอย่างครบลูป ตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ และเอสเอ็มอีก็มีหลายอุตสาหกรรม ซึ่งทุกหน่วยงานควรหาทางช่วยเหลือ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกการประสานงานกัน

          "ที่ผ่านมา ธปท.ให้ความช่วยเหลือด้านฐานข้อมูลของเอสเอ็มอีทั้งหมด ในอนาคตเมื่อ ธปท. เข้าไปกำกับดูแลธนาคารเฉพาะกิจ (เอสเอฟไอ) ก็จะมีฐานข้อมูลเอสเอ็มอีของเอสเอฟไอเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยให้สถาบันการเงิน มีข้อมูลใช้ประกอบการตัดสินใจให้สินเชื่อได้อย่างรอบด้าน"นางทองอุไร

          เกาะติดยอดขายเอสเอ็มอี

          นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีของภาครัฐที่ออกมา มีส่วนช่วยธุรกิจเอสเอ็มอีได้มาก โดยเฉพาะการเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ และช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ แต่ต้องติดตามว่า เอสเอ็มอีเหล่านี้ จะมียอดขายที่ดีขึ้นด้วยหรือไม่

          "ช่วยให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการผลิตต่ำลง เสริมสภาพคล่องให้กับเขา แต่ถ้าไม่มีคนมาซื้อสินค้าเขา ระยะยาวอาจแย่ได้เหมือนกัน" นายรณดล กล่าว

 

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 21 กันยายน 2558