“มะม่วงไทยยังมีอนาคต ตลาดยังต้องการสูง แต่ต้องเป็นการทำสวนมะม่วงแบบคนมีอาชีพปลูกมะม่วง ไม่ใช่ปลูกมะม่วงริมรั้วข้างบ้าน ปล่อยให้โตแบบตามมีตามเกิด เหมือนที่คนเกษียณชอบทำกัน คิดอะไรไม่ออก ปลูกมะม่วง ถ้าทำแบบนี้ไม่มีอนาคต ปลูกไปขายไม่ได้ราคา”
นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ให้ข้อคิด เนื่องจากโลกทุกวันนี้การแข่งขันสูง จะปลูกพืชอะไรก็ตามต้องทำให้ได้คุณภาพ ได้มาตรฐานความปลอดภัยตามที่ตลาดต้องการถึงจะขายได้ ที่สำคัญเกษตรกรต้องรู้จักรวมกลุ่มเพื่อจะได้มีอำนาจต่อรองในเรื่องราคา เพราะการรวมกลุ่มจะทำให้ผลผลิตมีปริมาณมากเพียงพอที่จะดึงดูดให้พ่อค้าวิ่งเข้ามาขอรับซื้อถึงสวน คุ้มค่าขนส่ง ไม่ต้องวิ่งหาซื้อหลายที่ นอกจากนั้นยังช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกรเอง รวมกันซื้อทีเดียวครั้งละมากๆได้ราคาเหมาโหลยกเข่ง ถูกกว่าแยกกันซื้อแบบตัวใครตัวมัน
เหมือนอย่าง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อส่งออกเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการรวมกลุ่มกันปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ส่งไปขายไกลถึง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป รัสเซีย...ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยล้มเหลวมาไม่รู้กี่รอบ เพราะทำเกษตรแบบตัวใครตัวมัน และไม่ได้ทำส่วนมะม่วงแบบมืออาชีพ
“20 ปีก่อน ที่นี่ปลูกมะม่วงแก้ว ทำไปทำมาขายไม่ได้ราคา เลยเปลี่ยนมาปลูกมะม่วงโชคอนันต์ แรกๆไปได้ดี แต่มาตอนหลังขายได้แค่ กก.ละ 3 บาท เพราะมะม่วงของเราขายได้เฉพาะในประเทศ เลยมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้ส่งไปขายต่างประเทศได้บ้าง ไปปรึกษาเกษตรอำเภอเขาแนะนำให้เรารวมกลุ่ม แล้วพาไปดูงานการรวมกลุ่มของชาวสวนมะม่วง อ.พร้าว ที่ส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้ไปญี่ปุ่น ไปดูว่าเขาทำยังไงถึงขายได้ กก. 40-80 บาท”
ประพันธ์ หมูทา กรรมการวิสาหกิจชุมชนเพื่อส่งออกเชียงดาว เล่าว่า สิ่งที่ได้เห็น วิธีการทำสวนมะม่วงไม่เหมือนกับที่พวกเขาเคยทำกันมา...ที่ อ.พร้าว ทำกันแบบมืออาชีพ มีการนำความรู้วิชาการสมัยใหม่มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ มีการใช้สารเร่งบังคับมะม่วงให้ออกลูกในช่วงเวลาตามผู้ซื้อในต่างประเทศต้องการ ต้องทำให้ได้ทั้งเวลาและปริมาณ มีการใช้ทั้งปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก ใช้สารเร่งมะม่วงออกดอกให้ฮอร์โมน ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูมะม่วงในแบบที่ปลอดภัยได้ตามมาตรฐานที่ประเทศผู้ซื้อกำหนด 1 เดือนก่อนเก็บผลต้องไม่มีใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ห่อมะม่วงให้ผิวสวยไม่ให้แมลงวันทองมาวางไข่ และมีการดูแลตัดแต่งกิ่งมะม่วง ลดทรงพุ่มเพื่อให้แสงแดดส่องไปช่วยกำจัดแมลงและเชื้อรา
“เขาทำกันแบบมืออาชีพจริง เมื่อกลับมาเราก็เริ่มคิดทำกัน มีเกษตรตำบลคอยช่วยเหลือ หาวิทยากรมาอบรมให้ความรู้ แรกๆ การรวมกลุ่มทำกันได้ไม่กี่คน ผลผลิตที่ได้มีน้อย เลยต้องขนมะม่วงไปฝากขายที่ อ.พร้าว ก่อนแต่ตอนนี้การรวมกลุ่มของเรามีสมาชิกมากขึ้น ทำให้ผลผลิตมีมากขึ้น เราไม่ต้องขนมะม่วงไปที่พร้าวอีกแล้ว เพราะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่นี่เลย”
ส่วนจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้แค่ไหน ประพันธ์บอกแค่เพียง มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง1 ไร่ ขายได้ประมาณ 90,000 บาท หักต้นทุนแล้วเหลือกำไร 50,000 บาท เกษตรกรแต่ละรายจะมีสวนมะม่วงเฉลี่ย 20-30 ไร่...รวมแล้วปีหนึ่งกำไรแค่ล้านนิดๆเท่านั้นเอง.
ชาติชาย ศิริพัฒน์
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 18 พ.ค. 58 หน้า 7