เมนู
ค้นหา

BAAC LIBRARY

หอสมุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หน้าแรก » รายการ E-clipping » รายละเอียด E-clipping
หมอดินเมืองจันทบุรีปลูกพริกไทยอินทรีย์

          จังหวัดจันทบุรีเป็นแหล่งปลูกพริกไทยที่สำคัญ โดยมีพื้นที่ปลูก ประมาณร้อยละ 95 ของพื้นที่ปลูกทั่วประเทศ แต่ในระยะหลังมานี้มีเกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า สาเหตุมาจากปัญหาดินเสื่อมโทรมอันเกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ผลผลิตพริกไทยที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

          นายปรีชา โหนแหยม ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินจันทบุรี สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 2 กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า เกษตรกรที่ปลูกพริกไทยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีส่วนใหญ่ประสบปัญหาดินเสื่อมโทรมจากการใช้ปุ๋ยเคมีต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ดิน ขาดอินทรียวัตถุ ดินแข็งกระด้าง ประกอบกับจันทบุรีเป็นพื้นที่ติดทะเลทำให้ปัญหาเรื่องดินกรด หากไม่ได้รับการปรับปรุงบำรุงดินอย่างถูกวิธีจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งเป็นผลต่อต้นทุนการผลิตของเกษตรกรที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้น เกษตรกรหลายรายได้ผันตัวเองจากการปลูกพริกไทยไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน ดังนั้น สถานีพัฒนาที่ดินจันทบุรี ได้เข้าไปสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกรสวนพริกไทยให้ใช้ผลิตภัณฑ์ของกรมพัฒนาที่ดิน โดยใช้ปูนโดโลไมท์ปรับสภาพดินกรดให้เป็นกลาง หลังจากนั้นให้ใช้ปุ๋ยหมักผลิตจากสารเร่งซุปเปอร์พด.1 เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ต้นพริกไทยปรับสภาพฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ ให้ผลผลิตที่ดีขึ้น และสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตในด้านการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้

          พื้นที่ตำบลวังโตนด อำเภอนายายอาม เป็นพื้นที่ตัวอย่างหนึ่งของจังหวัดจันทบุรีที่ประสบปัญหาต้นพริกไทยเสื่อมโทรมจากการใช้ปุ๋ยเคมี โดยนายภิรมย์ แก้ววิเชียร หมอดิน อาสาประจำตำบลวังโตนด ซึ่งเป็นเกษตรกรหนึ่งในนั้น เล่าว่า สมัยก่อนตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ปลูกพริกไทยโดยใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีปริมาณมากและต่อเนื่อง ปรากฏว่าลงทุนปลูกพริกไทยแต่ละค้างจะสามารถเก็บผลผลิตได้ประมาณ 4-5 ปีก็ต้องโค่นปลูกใหม่ เพราะต้นจะโทรมและให้ผลผลิตลดลง เนื่องจากคุณภาพดินไม่ดี ดินแข็งและเป็นกรด ผลผลิตที่ได้จะดีเพียงปีที่ 1-3 หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนจึงต้องปลูกใหม่ทดแทน พอมาช่วงตนที่เข้ามาปลูกต่อรุ่นพ่อแม่ก็ยังคงใช้ปุ๋ยเคมีก็ประสบปัญหาเดิมๆ และคิดว่าถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไปไม่รอด จนกระทั่งได้มาเป็นหมอดินอาสาประจำตำบลวังโตนด ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการปรับปรุงบำรุงดิน การทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง นับเป็นจุดหักเหของการปลูกพริกไทยจากเคมีมาสู่อินทรีย์ โดยเริ่มต้นจากนำตัวอย่างดินไปตรวจวิเคราะห์หาธาตุอาหาร ค่า pH เพื่อจะได้รู้ว่าดินเป็นอย่างไรต้องปรับปรุงอะไรบ้าง ซึ่งพื้นที่นี้มีปัญหาดินกรดก็ใช้ปูนโดโลไมท์ปรับปรุง และใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตเองจากวัสดุเหลือใช้ในพื้นที่มาใส่บำรุงต้นพริกไทย ก็ช่วยปรับโครงสร้างดินให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จะใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.3 ร่วมกับน้ำหมักชีวภาพ ใส่ไปในระบบสปริงเกอร์ ป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าด้วย

          จากการทำพริกไทยอินทรีย์จะเริ่มทำเป็นแปลงๆ ไป เพื่อเปรียบเทียบผลกับแปลงที่ยังใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งช่วงแรกจะเริ่มจากลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีแล้วใช้อินทรีย์ควบคู่กันไปจนกระทั่งลดเคมีในที่สุด ซึ่งความแตกต่างในปีแรกยังไม่เด่นชัด แต่พอเข้าสู่ปีที่ 2-3 จะเห็นผลชัดเจน คือดินมีความสมบูรณ์ขึ้น จากดินแข็งกระด้างก็ร่วนซุย มีจุลินทรีย์ ไส้เดือนในดิน ต้นพริกไทยที่ใบเหลืองก็กลับมาเขียวเข้ม และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการพิสูจน์ด้วยตนเอง พบว่าจากต้นพริกไทยค้างหนึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่เกิน 5 ปี ก็มีอายุเพิ่มขึ้นเป็น 18-19 ปี ยังให้ผลผลิตต่อเนื่องพื้นที่ปลูกพริกไทยของตนมีทั้งหมด 12 ไร่ แบ่งเป็นพริกไทยพันธุ์ซีลอน และพันธุ์มาเลเซีย ซึ่งแต่เดิมได้ผลผลิตรวม 3 ตัน แต่พอมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ตัน ที่สำคัญคือต้นทุนการผลิตลดลงจากเดิมกว่า 40% เนื่องจากปุ๋ยเคมีตันหนึ่งประมาณ 13,000 บาท ในแต่ละปีจะต้องมีต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีและสารเคมีไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท ขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์อยู่ที่ตันละ 1,500-2,000 บาท ใส่อย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง ก็จะมีต้นทุนอยู่ที่ 6,000 บาท

          นอกจากเรื่องผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ต้นทุน ลดลงแล้ว หมอดินภิรมย์ ยังลดความเสี่ยงด้านราคาโดยการวางแผนการผลิตให้ผลผลิตออกนอกฤดูหรือออกตรงกับ ช่วงที่มีราคาดี อย่างน้อยจะได้ราคาจำหน่ายพริกไทยอ่อน 200 บาท/กก. หรือถ้าแม้ว่าในฤดูการผลิตนั้นราคาตกต่ำก็ยังสามารถปล่อยให้พริกไทยแก่และขายเป็นพริกไทยดำที่ได้ราคาสูงขึ้นได้

          "ยืนยันเลยว่าการปลูกพริกไทยอินทรีย์อยู่ได้แน่และยั่งยืนกว่าเคมี ที่สำคัญพริกไทยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สุดยอดมาก เพราะปลูกปีนี้ปีหน้าก็สามารถเก็บผลผลิตขายคืนทุนแถมได้กำไร 30% พอปีที่สองรับกำไรเต็มๆอีกทั้งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยาวนานกว่า 20 ปี หากเกษตรกรท่านใดสนใจสามารถติดต่อหรือเข้ามาดูงานได้ที่เบอร์ 08-5278-8035 ยินดีให้คำแนะนำอย่างเต็มใจ" หมอดินภิรมย์ กล่าว

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า  วันที่ 4 มิถุนายน 2558  หน้า 13

 



เอกสารที่เกี่ยวข้อง