พัสณช เหาตะวานิช
ไปเจอบทความหนึ่งในอดีต ที่คุณบรรยง พงษ์พานิช เขียนย้อนไปสรุปความจาก บทความของอดีตนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน ที่เขียนหรือให้สัมภาษณ์ อันนี้ไม่แน่ใจ เกี่ยวกับประเด็นการค้าข้าวของประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงที่สถานการณ์ความวอดวายฉิบหายจากนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ กำลังสุกงอม
ช่วงกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ไม่ต้องถึงกับหลับตาย้อนไปนึกถึง ก็พอ จะเห็นภาพชัดได้ว่า กลุ่ม กปปส. และ คนไทยเกือบจะทั้งประเทศ ตื่นรู้ตระหนัก ถึงความเสียหายของภาครัฐต่อนโยบายการคลัง อภิมหาประชานิยม จำนำข้าว ที่ผลาญเม็ดเงินภาษีไปสูงมากถึง 9 แสนล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยและภาระอื่น เป็นผลให้เจ๊งหรือขาดทุนจากโครงการกว่า 6 แสนล้านบาท นอกจากนั้น ยังเป็นภัยบ่อนทำลายตลาดข้าวและวงการค้าข้าว ของไทย รวมไปถึงคร่าชีวิตชาวนาไปสิบกว่าราย แถมยังมีผลพวงทางอ้อม ให้เกิดความฝืดตัวในภาคการบริโภคครัวเรือน เพิ่มหนี้ครัวเรือน เพราะการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องค้างจ่าย ค่าจำนำข้าวให้แก่ชาวนาเป็นเวลากว่า ครึ่งปี !
หลักการของการจำนำข้าวนั้น ลองย้อนถอยมาตั้งหลัก ดูให้ดี โกหกตั้งแต่ตั้งชื่อโครงการแล้ว เพราะไม่ได้มีการ "จำนำ" เลยแม้แต่น้อย พูดถึงจำนำ คือวันหนึ่งจะต้องมีการเอาเงิน ไปไถ่ของคืน แต่นี่ร้อยทั้งร้อยไม่มีชาวนาที่ไหนเอาเงินไปไถ่ข้าว คืนแน่นอน แล้วทำไมต้องตั้งชื่อตอแหลแต่ต้น ก็เพราะ หลีกเลี่ยงเกณฑ์ต้องห้ามขององค์การการค้าโลกในเรื่องการกีดกัน และการผูกขาดการค้า ที่จริงๆ แล้วหลักใหญ่ใจความของนโยบายนี้คือ "การรับซื้อข้าวทั้งระบบมาให้รัฐบาลเป็นผู้ค้าแต่รายเดียว" นั่นคือการรวมศูนย์ ไม่เป็นกลไกตลาด ไม่เสรี และเป็นระบบคล้ายๆ กับคอมมิวนิสต์ในบางแง่มุมด้วยซ้ำไป
คราวนี้แย่ยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อรับซื้อข้าวรวมทั้งระบบ เข้ามาแล้ว ยังเต็มไปด้วยแร้งทึ้ง เหลือบริ้น เห็บตะเข็บชายแดน รอจะหาช่องทางในการโกงจำนำข้าวอีกโดยคนในรัฐบาลที่รวมศูนย์ระบอบการค้าข้าวนี้เองนี่แหละครับ อาจดูขยายความ เพิ่มเติมจากบทความเก่า "4 ขั้นตอน 20 วิธีการโกงจำนำข้าว" ได้ และเรื่องนี้ก็มีความชัดเจนในหลายๆ ผลการตัดสินของหลายคดี จากองค์กรอิสระ รวมไปถึงการพิจารณาโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
จำนำข้าว ล้มเหลวตั้งแต่หลักการ และรั่วไหลในทุก กระบวนการ ถ้าไม่เรียกว่า "ออกแบบนโยบายนี้เอาไว้โกง อย่างเดียว" ก็ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงนี้อีกแล้วล่ะครับ
ที่เกริ่นไปตอนแรก ผมอยากเชิญชวนให้เรามาดูตัวอย่างกรณีศึกษาของการทำระบอบการค้าแบบรวมศูนย์ของพม่า โดยนายพลเนวิน พ่อของออง ซาน ซู จี กันครับว่า เค้าล้มเหลวจนพม่าบอบช้ำมาแล้วแค่ไหนอย่างไร
จากบทความบางส่วนของคุณบรรยง พงษ์พานิช ที่ได้เขียนถึงบทความของอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุนเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ...ท่านยกตัวอย่างฝีมือการ ทำลายอุตสาหกรรมข้าวของประเทศพม่า เมื่อนายพลเนวินอดีต ผู้นำพม่ายึดอำนาจจากอูนุในปี 2505 แล้วสถาปนาระบอบ "Burmese Road to Socialist" (หรือเรียกอีกอย่างว่า "สังคมชาตินิยมแบบพม่า" คือ 1.เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 2.ใช้ระบบชาตินิยมสุดๆ ทุกอย่างเป็นของชาติ เพื่อชาติ 3.ต่างชาติ แย่ต่างชาติเลว ปิดประเทศ จะพัฒนาตาม "ภูมิปัญญาพม่า" เท่านั้น ซึ่งก็ทำให้ประเทศพม่าที่เคยมี per capital GDP คิดเป็น 180% ของไทยในปี 2505 เจริญลงๆ มาเหลือแค่ 1/7 ของ ประเทศไทยในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่พี่ไทยเราก็ไม่ได้พัฒนาดีเด่อะไร ยังเป็นประเทศที่ "ติดกับดักการพัฒนา" อยู่เลยตัวอย่างเห็นได้ชัดครับว่า พอพม่าเปลี่ยนโครงสร้าง ตลาดข้าวให้เป็นของรัฐแล้ว ก็แปรสภาพจากผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ ที่สุดในโลก (ปี 2506 พม่าส่งออก 1.6 ล้านตัน ไทยรองแชมป์ได้ 1.3 ล้านตัน) ค่อยๆ ลดลงจนไม่ถึง 1.0 ล้านตันในปี 2511 และไม่เคยถึงอีกเลยตลอด 45 ปี จนถึงปัจจุบัน แถมคุณภาพข้าวห่วย จนทัวร์ไทยเที่ยวพม่าต้องเอาข้าวไทยไปหุงเอง ขณะที่ไทยเราส่งออกข้าวประมาณ 9 ล้านตันในปี 2553 (หลังจากนั้นไม่รู้แล้วครับ ก็ท่านบอกว่า "ลับสุดยอด" นี่ครับ) เห็นไหมครับ ตัวอย่างที่พยายามบอกว่า "รัฐเก่ง รัฐดี" กลไกตลาดห่วย มันทำร้ายประเทศได้แค่ไหน (แต่ท่านเนวินและคณะพรรค ก็ร่ำรวยจนทุกวันนี้ มีทรัพย์สินมหาศาลครึ่งประเทศได้)
การบริหารประเทศแบบระบอบคอมมิวนิสต์นั้น เรียกอีกอย่างว่าเป็น "ระบบรวมศูนย์" (Centrally Planned Economy) นั่นคือ ไม่เชื่อในกลไกตลาด ไม่เชื่อในระบบเอกชน รัฐจะเข้าครอบงำเป็นเจ้าของ เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่รู้กัน ถึงจะเจตนาดี มุ่งเน้นเรื่อง ความเป็นธรรม แต่ระบบที่ไม่มีการแข่งขันเลยนั้น ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพตามไปด้วย ประเทศผู้นำของระบอบทั้งหลาย เช่น รัสเซีย จีน ต่างก็ยอมรับ ยกเลิกหันมาใช้ระบบตลาดเข้าแทนที่มากว่า ยี่สิบปีแล้ว จนปัจจุบันค่อยลืมตาอ้าปากมาแข่งกับชาวโลกได้บ้าง
การบริหารประเทศแบบ CEO เหมือนที่ทักษิณชอบพูดชอบโอ้อวดนั้น ถ้ามองให้ดีจะมีส่วนคล้าย Centrally Planned ไม่น้อย จริงอยู่ Corporate CEO นั้นต้องมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับปรุงศักยภาพเพื่อไปแข่งขัน แต่ Country CEO ต่างกันมาก เพราะการถืออำนาจรัฐสามารถที่จะขจัดการแข่งขัน กีดกันการแข่งขันได้ (ซึ่งเป็นเรื่องง่ายกว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพมากนัก) และตัวอย่างเราก็เห็นแล้วว่า ทักษิณพยายามกำจัดการแข่งขัน จำกัดการตรวจสอบควบคุมอย่างไรบ้าง (เป็นธรรมดาที่ CEO ต้องพยายามลดความไม่แน่นอน โดยการเข้าจัดการทุกอย่างเอง)
เห็นไหมครับ วิธีการที่ใช้ได้ผลกับกิจการที่อยู่ในระบอบทุนนิยมเสรี ซึ่งก็คือผลผลิตของประชาธิปไตย นี่แหละ แต่เมื่อนำมาใช้ในกลไกที่ใหญ่ขึ้น มีความแตกต่าง ในองค์ประกอบ กลับจะนำความเสียหายมาให้ ผมมั่นใจ และเตือนมาตลอดว่า การนำเทคนิคการบริหารแบบ Corporate CEO มาใช้ในการบริหารประเทศ ถึงแม้อาจทำให้เกิดผลดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะต้องมีปัญหามากมายแน่นอน ลองนึกถึง CEO ที่กุมอำนาจรัฐสิครับ ในที่สุดจะกลายเป็น "ผู้นำเผด็จการ" ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยไปเอง อย่างเช่น ท่าน Hitler ท่าน Mussolini ท่าน Marcos ที่ล้วนชนะเลือกตั้งท่วมท้น
ประเทศพม่า เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาประเทศแบบรวมศูนย์ รัฐเข้าแทรกแซงเข้าทำทุกอย่าง การชาตินิยมแบบไม่ลืมหูลืมตา การต้านโลกาภิวัตน์ ปฏิเสธการร่วมพัฒนาไปด้วยกันของโลก ทำให้ชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรเพียบพร้อมที่สุดชาติหนึ่ง ต้องกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ยากจนเกือบที่สุดในเอเชีย (มีเพียง อัฟกานิสถานที่จนกว่า) นี่แหละครับ ผลงานของท่าน CEO นายพลเนวิน และคณะพรรคหันมาดูของเราบ้าง ขณะที่ทั่วโลกมุ่งเน้นที่จะกระจาย จะลด บทบาท ขนาด และอำนาจรัฐ เรากลับทำตรงกันข้ามมาตลอด ไม่ต้องพูดถึงอดีตรัฐบาลที่ชอบทำตัวเป็น "คุณพ่อ รู้ดี" เข้าเสือก เข้าครอบงำไปทุกๆ กิจกรรม แม้การที่มีองค์กรอิสระเพิ่มขึ้นเยอะแยะ ทางหนึ่งถึงจะเป็นคานอำนาจ แต่ก็เป็น การใช้อำนาจรัฐมาคานอำนาจรัฐ เลยเกิดอำนาจซ้อน วุ่นวายเป็นลิงแก้แหอยู่ทุกวันนี้ หรืออย่างที่พอมีประท้วงก็ต้องมีการแถม "ยึด ปตท. คืน" ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใช้อะไรคิด ถึงอยากทวงคืนกิจการที่อย่างน้อยก็มีตลาดคอยช่วยควบคุมตรวจสอบ ให้กลับมาอยู่ภายใต้อุ้งตีนรัฐมนตรี ใต้อุ้งตีนนักการเมืองเต็มตัว เหมือนอย่างรัฐวิสาหกิจอื่นๆ (ที่ถูก ต้องปรับโครงสร้างแล้วขายต่อให้หมด ไว้ว่างๆ จะมาเสวนาเรื่องนี้ยาวๆ สักครั้งครับ เพื่อเรียกแขกให้ครบทุกกลุ่ม)
ดูตัวอย่างรัฐบาลปัจจุบันแล้วช่างห่อเหี่ยว ทั้งท่านนายใหญ่ ท่านรองกิตติรัตน์ ท่านยรรยง ล้วนแล้วแต่มีประวัติชอบการ "จัดการ" ตลาด ไม่เชื่อกลไก ชอบครอบงำ มั่นใจในฝีมือตนทั้งนั้น ก็หวังว่าจะไม่ทำประเทศยับเยินไปได้จนถึงขนาดพม่านะครับ
ถึงท่านนายใหญ่จะลงท้ายชื่อว่า -IN เหมือนกัน แต่ผมหวังว่า ในกาลข้างหน้าจะไม่ถูกประวัติศาสตร์ประณามว่าเป็นสุดยอดทรราชที่ทำให้ประชาชนทั้งชาติต้องทุกข์ระทมกันเป็นหลายช่วงชีวิตเหมือน General Ne Win นะครับ"คุณบรรยงจบการขยายความบทความของอดีตนายกฯ อานันท์ไว้เท่านี้ครับ พอผมได้อ่านจึงอดเอามาขยายความ ต่อไม่ได้ ก็ต้องขอขอบคุณ คสช.เอาไว้จุดนี้จุดนึงนะครับที่ช่วย ยับยั้งโครงการจำนำข้าว และเยียวยากลไกการค้าข้าวไทยให้กลับมาดังเดิม
ระหว่างนี้หลายภาคส่วนก็กำลังมุ่งช่วยเหลือชาวนากันไม่หยุดหย่อนครับ โครงการเกษตรเข้มแข็ง ของคุณกรณ์ จาติกวณิช กำลังจะเริ่มหว่าน ไถกลบ ดำ ในพื้นที่มหาสารคาม สำหรับ "ข้าวอิ่มมหาสารคาม" ฤดูกาลนี้แล้ว ชาวนาอีสานจะได้ลืมตาอ้าปากหลุดพ้นจากกับดักประชานิยมทาง การเกษตรกันเสียทีครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 6 มิถุนายน 2558 หน้า 2