สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว SMEs มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% ของ GDP ขณะที่ SMEs ไทยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 42% ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อตลาดแรงงานไทยเพราะมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 80% ของการจ้างงานทั้งหมด
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของ SMEs หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันพัฒนาให้ SMEs มีความเข้มแข็ง ผ่านการให้คำปรึกษาในการ เริ่มต้นธุรกิจ การพัฒนาการค้า การตลาด เทคโนโลยีตลอดจนการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อช่วยหล่อเลี้ยงให้ SMEs สามารถทำงานได้ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ในมิติของการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ธนาคารพาณิชย์เป็นตัวกลางสำคัญอันดับแรกในการให้สินเชื่อกับSMEs โดยปัจจุบันสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับลูกค้า SMEs มีจำนวน 4.4 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 40% ของสินเชื่อทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์ และยังมีสินเชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐอีกกว่า 1.4 ล้านล้านบาท
โดยสินเชื่อที่ให้กับ SMEs เคยขยายตัวในอัตราสูงถึง 15% ต่อปี จัดได้ว่าเป็นลูกค้าที่มีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาฟันเฟืองเล็กๆ เหล่านี้อาจทำงานติดขัดไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ SMEs บางกลุ่มเริ่มขาดสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้เสื่อมลงโดยเฉพาะ SMEs ขนาดเล็กที่มีเงินทุนน้อยจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น
ในปีที่ผ่านมาการขยายตัวของ สินเชื่อ SMEs จึงลดลงเหลือเพียง 4% ดังนั้น รัฐบาลจึงมีมาตรการความช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและการคลังเพื่อช่วยเหลือ SMEs ให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เช่น โครงการ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) การลดค่าธรรมเนียมการค้าประกันสินเชื่อ และการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผลของมาตรการดังกล่าวทำให้สินเชื่อ SMEs กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 6% และทำให้มี SMEs รายใหม่ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2558 ถึงไตรมาส 1 ปี 2559 เกือบ 4 หมื่นราย สูงกว่าในภาวะปกติถึง 2 เท่า
จึงกล่าวได้ว่ามาตรการของภาครัฐมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากไปได้ในระดับหนึ่ง ในอนาคตประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพซึ่งเน้นการผลิตให้ได้จำนวนมากและควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมตามนโยบาย Thailand 4.0
ซึ่ง SMEs ก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในครั้งนี้โดย SMEs ต้องเปลี่ยนจาก SMEs แบบดั้งเดิมที่ต้อง พึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐตลอดเวลา ไปสู่ SMEs ยุคใหม่ที่เติบโตโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ สินค้าและบริการ และสามารถปรับตัวให้ทันต่อการแข่งขัน โอกาสความเสี่ยง และบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โครงสร้างธุรกิจและการดำเนินงาน ของ SMEs ยุคใหม่ที่ต้องอาศัย องค์ความรู้นวัตกรรมและเครือข่ายที่ แตกต่างไปจากเดิมนี้ทำให้ SMEs ต้องการแหล่งเงินทุนในรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับโมเดลธุรกิจนอกเหนือจากการใช้ สินเชื่อจากธนาคารและภาครัฐ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจ ในต่างประเทศ เช่น การระดมทุนผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เนตเพื่อสร้างนาฬิกาอัจฉริยะ (Smart watch) ยี่ห้อ Pebble ที่สามารถระดมทุนได้กว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐจากผู้สนับสนุน 70,000 ราย ภายในเวลาเพียง 1 เดือน
หรือโซเชียลมีเดียระดับตำนานอย่าง Facebook และ Instagram ที่ใช้ เงินทุนจากนักลงทุนอิสระ (Angel Fund) และ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) เพื่อต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์จน เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก สำหรับ SMEs ไทย เช่น StockRadars OmiseDrivebot ก็ประสบความสำเร็จจากการระดมทุนผ่านช่องทางอินเตอร์เนต (Crowd funding) และ Venture Capital จากต่างประเทศ
ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงส่งเสริมให้ SMEs ไทยมีทางเลือกในการระดมทุนผ่านช่องทางที่หลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการมากขึ้น เช่น Crowdfunding Venture Capital และการระดมทุนในรูปแบบการกู้ยืมเงิน (Peer to Peer Lending) ตลอดจนการเพิ่มประเภทหลักประกันประเภททรัพย์สินทางปัญญาเพื่อใช้ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์และองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งได้จัดตั้งกองทุนVenture Capital เพื่อร่วมลงทุนกับ SMEs ที่มีศักยภาพหรือมีแนวคิดและเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการขยายทางเลือกของการระดมทุนสำหรับ SMEs การส่งเสริมและพัฒนา SMEs ต้องอาศัยความร่วมมือและการผลักดันของหลายฝ่าย
ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวช่วยเหล่านี้ก็ เป็นเพียงโค้ชผู้อยู่เบื้องหลัง เหนือ สิ่งอื่นใดคือ SMEs ต้องมีสปิริตนักสู้ขยัน มุ่งมั่น สังเกต ฝึกฝน ทดลองอะไรใหม่ๆ และปรับตัวให้ทันกับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง เพื่อเป็น SMEs ที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งสามารถเป็น ฟันเฟืองที่ผลักดันให้เครื่องจักรเศรษฐกิจไทยทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
โดย...กิ่งกาญจน์ เกษศิริ
นุชนารถ ปานทอง
'SMEs ต้องมีสปิริตนักสู้ขยัน มุ่งมั่น สังเกต ฝึกฝน ทดลองอะไรใหม่ๆ และปรับตัวให้ทันกับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง เพื่อเป็น SMEs ที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สามารถเป็นฟันเฟืองที่ผลักดันให้เครื่องจักรเศรษฐกิจไทยทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป'
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 7 พ.ย. 2559